วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2560

เป็น " โรคไตชัวร์ " ถ้ามีอาการแบบนี้

เป็น " โรคไตชัวร์ " ถ้ามีอาการแบบนี้

โรคไต อาการไหนส่งสัญญาณว่าป่วย ?มีอาการบวมทั้งตัว

ผู้ป่วยโรคไตส่วนมากจะมีอาการบวมตามตัว เกิดจากการมีน้ำและเกลือเพิ่มขึ้นในร่างกาย ระยะแรกอาจมีเพียงการบวมที่หนังตา และหน้า ต่อมาจะมีการบวมที่ขาและเท้าทั้งสองข้าง โดยอาจรู้สึกว่าแหวนหรือรองเท้าคับขึ้น ถ้าบวมไม่มากอาจสังเกตไม่เห็น แต่ทดสอบได้ด้วยการลองใช้นิ้วกดที่หน้าแข้งสักพักแล้วปล่อย หากพบว่ามีรอยบุ๋มอยู่แสดงว่าบวมแน่น ควรไปพบแพทย์

เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ซีด

ผู้ที่เป็นโรคไต ถ้าเป็นน้อย ๆ มักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเป็นมากขึ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หากเป็นมาก ๆ ใกล้เป็นไตวายเรื้อรังจะเพิ่มอาการซีด คันตามตัว เบื่ออาหาร

ปวดหลัง ปวดบั้นเอว

ไต เป็นอวัยวะที่อยู่บริเวณช่วงหลังด้านล่างของเรา ดังนั้น หากไตเกิดความผิดปกติขึ้น เราอาจรู้สึกปวดหลัง บั้นเอวที่บริเวณชายโครง ร้าวไปถึงท้องน้อย หัวหน่าว และที่อวัยวะเพศได้ บางคนก็ถึงขั้นปวดกระดูกและข้อ ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการอุดตันที่ท่อไต กรวยไตอักเสบ หรือในท่อไตมีถุงน้ำโป่งพอง

ปัสสาวะผิดปกติ

เนื่องจาก ไต อยู่ในระบบทางเดินปัสสาวะ ดังนั้น หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับปัสสาวะ นั่นก็อาจหมายถึงไตทำงานผิดปกติได้ โดยเราสามารถสังเกตปัสสาวะ
- ปัสสาวะเป็นเลือด

- ปัสสาวะน้อยลง
- ปัสสาวะบ่อย
ปัสสาวะเป็นฟองมาก
ป้องกันโรคไต ต้องดูแลไตอย่างไรดี?

โรคไตที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากเป็นให้ยุ่งยากในการดูแลรักษาไปตลอดชีวิต เห็นทีต้องมาดูแลไตของเรากันให้มากขึ้นแล้วล่ะ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองแบบนี้ไง

- ลดการทานอาหารเค็ม ๆ ลง เพื่อควบคุมความดันโลหิต เน้นกินผักผลไม้ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

- ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

- รักษาและควบคุมน้ำหนักของตัวเองให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หากตัวเองอ้วนเกินมาตรฐานให้พยายามลดน้ำหนัก

- ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากความดันโลหิตสูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่คงที่ จะส่งผลให้ไตเสื่อมได้เร็วกว่าปกติ

- ผู้ป่วยเบาหวานต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อให้อยู่ในระดับปกติ เพื่อป้องกันการทำลายไต รวมทั้งการทำลายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง หัวใจ ตา
_________________________________________________


           
    ช่องทางติดต่อสั่งซื้อเห็ดหลินจือแดงสกัด 6 สายพันธุ์ DAXIN

โทร    : 0838954532
Line   : https://line.me/ti/p/BD7tst8dX2

6 วิธีรักษาต่อมไทรอยด์

6 วิธีรักษาต่อมไทรอยด์

ฮอร์โมนไทรอยด์ เป็นฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยควบคุมกระบวนการเผาผลาญและการใช้พลังงานต่างๆ ภายในร่างกาย ถ้าร่างกายมีระดับฮอร์โมนไทรอยด์สูงขึ้นจะทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญมากขึ้น เสมือนร่างกายทำงานหนักอยู่ตลาดเวลาจึงทำให้น้ำหนักตัวลดลงแม้จะรับประทานอาหารได้ปริมาณเท่าเดิม คุณสามารถดูแลต่อมไทรอยด์ของคุณได้ด้วยวิธีธรรมชาติ จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลยค่ะ
 1.ผักทะเล เช่น สาหร่ายทะเล คุณควรกินสาหร่ายทะเลให้เป็นประจำ เช่น สาหร่ายวะกะเมะ สาหร่ายคมบุและสาหร่ายโนริ เพราะอาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยสารไอโอดีน ซึ่งดีต่อสุขภาพของต่อมไทรอยด์

2.กินน้ำซุปกระดูกทุกวัน  น้ำซุปจะช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน และเยื่อบุลำไส้ อาหารชนิดนี้จำเป็นต่อสุขภาพของต่อมไทรอยด์ กินน้ำซุปกระดูกวันละถ้วยทุกวัน เพิ่มเกลือทะเลลงไปสักเล็กน้อยหรือจะผสมสาหร่ายทะเลลงไปด้วยมันจะช่วยบำรุงสุขภาพของต่อมไทรอยด์


3.น้ำมันมะพร้าวทำงานอย่างมหัศจรรย์  น้ำมันสำหรับทำอาหารส่วนใหญ่จะเปลี่ยนเป็น T4 - T3 ส่วนน้ำมันมะพร้าวจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญของคุณเช่นเดียวกับระบบภูมิคุ้มกันที่ช่วยทำให้ต่อมไทรอยด์มีสุขภาพดีอยู่เสมอ คุณควรกินน้ำมันมะพร้าวหนึ่งช้อนโต๊ะให้เป็นประจำทุกวัน

4.กินอาหารที่มีวิตามิน A,D และ K2  หากคุณขาดวิตามินเหล่านี้สุขภาพของต่อมไทรอยด์จะมีโอกาสเกิดปัญหา ดังนั้นคุณจึงจำเป็นต้องกินอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเหล่านี้และยังสามารถกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีวิตามินเหล่านี้อยู่ได้

5.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลูแตน  เพราะกลูแตนสามารถนำไปสู่การเป็น"โรคออโตอิมมูน" หรือ "โรคภูมิต้านตนเอง" มีการศึกษาแสดงให้เห็นแล้วว่ากลูแตนทำให้ต่อมไทรอยด์เกิดการอักเสบและก่อให้เกิดโรคดังกล่าวคุณควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทเนยถั่วและถั่วลิสง เพราะมันอุดมไปด้วยสารเรียกว่า กอยโตรเจน (goitrogens)

6.ลองฝึกโยคะ  การทำสมาธินานๆ ท่ามกลางธรรมชาติจะช่วยทำให้สุขภาพต่อมไทรอยด์ของคุณดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหาก สุขภาพ ต่อมไทรอยด์ของคุณได้รับผลกระทบจากภาวะซึมเศร้าหรือการบาดเจ็บ 
 แม้โรคไทรอยด์เป็นพิษจะเป็นโรคที่น่ากลัว อีกทั้งวินิจฉัยได้ไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะถ้าอาการแสดงไม่ชัดเจน เช่น ต่อมไทรอยด์ไม่โต ตาไม่โปนจนผิดสังเกตหรือบางครั้งอาการของโรคนี้อาจแฝงมากับอาการของระบบอื่นๆ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว ดีซ่าน กล้ามเนื้ออ่อนรงหรือแม้แต่อาการทางจิตซึ่งอาการเหล่านี้อาจทำให้แพทย์ไม่คิดว่าเกิดจากโรคไทรอยด์เป็นพิษจึงทำให้การวินิจฉัยโรคนี้ยากขึ้นไปอีก

(Cr.www.thaihealth.or.th)
(Cr.www.rak-sukapap.com)


               ช่องทางติดต่อสั่งซื้อเห็ดหลินจือแดงสกัด 6 สายพันธุ์ DAXIN

โทร    : 083-8954532
Line   : 

วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560

เห็ดหลินจือแดง DAXIN เป็นมะเร็งปากมดลูก ต้องทำอย่างไร?

เห็ดหลินจือ กับ มะเร็งปากมดลูก

เห็ดหลินจือ กับ มะเร็งปากมดลูก
เห็ดหลินจือ กับ มะเร็งปากมดลูก

สวัสดีค่ะ

รักษา ศรีคำพันธุ์ค่ะ

วันนี้มีเรื่องเล่าประสบการณ์ที่ตกอยู่ความวิตกกังวลมานาน 
เกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูกคิดว่าตัวเองจะต้องตายเพราะโรคนี้แน่นอน
หลังจากที่ดิฉันได้รู้จักกับ คุณณัศรน แวนุเซ็งทาง Facebook แล้ว
และได้แนะนำให้ดิฉันรองทานหลินจือดูก่อน
ดิฉันก็ได้ทำตามคำแนะนำ เริ่มทานวันที่ 2 ก.พ. 58 
ทุกอย่างก่อนที่จะไปตรวจมะเร็งปากมดลูกที่บ้านเกิด
ดิฉันได้ไปตรวจวันที่19ก.พ 58หมอบอกดิฉันว่ามีเชื้อมะเร็งปากมดลูก
แต่ต้องรอผลสรุปอีก สองอาทิตย์เพื่อความแน่ใจ100%
ช่วงเวลาที่ดิฉันรอผลนั้นดิฉันก็ทานหลินจือมาโดยตลอด
จนถึงทุกวันนี้วันที่9 มีนาคม58ดิฉันได้โทรศัพท์ไปถามคุณหมอ
ผลปรากฏว่าเป็นข่าวดีที่สุดค่ะดิฉันไม่มีเชื้อมะเร็งปากมดลูกค่ะ
คุณหมอได้แนะนำว่าให้ไปตรวจทุกๆ หก เดือนหรือปีระครั้ง
ห้ามปล่อยไว้เหมือนที่ผ่านเพราะอาจจะไม่โชคดีเหมือนครั้งนี้อีก
เป็นข่าวดีที่สุดสำหรับดิฉันยิ่งกว่าถูกรางวัลที่หนึ่งเลยค่ะ
ดิฉันขอฝากประสบการณ์ในครั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนสตรีทุกท่านด้วยนะคะ
อยากให้ทุกคนท่านไปตรวจร่างกายทุกปีด้วยนะคะ
อย่าปล่อยเอาไว้จนแก้ไขอะไรไม่ได้ขอบคุณที่สระเวลาอ่านข้อมูลประสบการณ์ของดิฉัน
และขอบคุณคุณณัศรน คุณนกและคุณหมอสมานมากๆ เลยนะคะ
ที่แนะนำให้ความรู้และเป็นที่ปรึกษาในยามที่รู้สึกไม่มีใครขอบคุณค่ะ

รายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ
คุณรักษา ศรีคำพันธุ์ 098 4218955


สั่งสินค้าเพื่อสมทบทุน โทร 0943523942
https://line.me/ti/p/BD7tst8dX2

เห็ดหลินจือแดง DAXIN เป็นไม่เกรน ต้องทำอย่างไร?

เห็ดหลินจือ กับ ไมเกรน

เห็ดหลินจือ กับ ไมเกรน
เห็ดหลินจือ กับ ไมเกรน

เห็ดหลินจือ กับ ไมเกรน
คุณสิริพร สำเภาทอง
ไมเกรง อาเจียน หงุดหงิด ปวดหัวข้างเดียว
แต่ก็หาย...ด้วยเห็ดหลินจือ!!!
ดิฉัน มีปัญหาสุขภาพ ปวดหัวไมเกรน ต้องอาศัยยาติดตัวเวลาออกจากบ้าน และมีภาวะโรคโลหิตจาง ต้องทานยาบำรุงเลือด ประจำเดือนมาไม่ปกติ เป็นมาตั้งแต่อายุ 17 ปี จนกระทั่งอายุ 21 ปี คุณแม่สามี (DD สุภวดี อาษาวงค์ ได้แนะนำให้ทานเห็ดหลินจือรากและดอก 6 สายพันธุ์ ของบริษัทแด๊กซิน (ประเทศไทย) จำกัด อาการปวดหัวไมเกรนก็หายไป ประจำเดือนมาปกติ กระทั่งตั้งครรภ์ ได้ตรวจเลือดพบว่าภาวะโลหิตจางก็หายไป ค่าเลือดปกติ ดีใจมาก ตอนตั้งครรภ์คุณแม่สามีได้จัดเห็ดหลินจือเฉพาะรากอย่างเดียวทานก่อนอาหาร 3 แคปซูล 3 เวลา พอตั้งครร๓์ได้ 5 เดือน ทานทั้งดอกและราก อย่างละ 3 แคปซูล 3 เวลา เมื่อครบกำหนดคลอด ทารกแข็งแรง สมบูรณ์ดีมาก น้ำหนัก 3,005 กรัม อายุ 20 วัน น้ำหนัก 4,000 กรัม ไม่งอแง เลี้ยงง่ายขับถ่ายดี ไม่เคยเป็นหวัดและไม่เคยเป็นไข้เลย หลังคลอดดิฉันทานบีมอรร์เพิ่มก่อนนอน 1 แคปซูล เช้า 1 แคปซูล พร้อมเห็ดหลินจือ 3 ชุด ทุกๆวัน แผลคลอดหายไว ไม่ปวดแผล น้ำคาวปลาหมดเร็ว ไม่อ่อนเพลียทารกก็ทานมนแม่อย่างเดี่ยวค่ะ
ติดต่อเรา


เห็ดหลินจือแดง DAXIN เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จะหายไหม?

เห็ดหลินจือ กับ มะเร็งระยะสุดท้าย

เห็ดหลินจือ กับ มะเร็งระยะสุดท้าย

สวัสดีครับเพื่อนๆ

ชีวิตต้องอยู่ด้วยความหวังครับ เราอาจจะเคยได้ยินมาตลอดว่าการเป็นมะเร็ง "รักษาไม่หาย" ผมก็เป็นอีกคนที่ได้ยินคำนี้มาตลอดครับ ความจริงก็เป็นแค่ความรู้ที่เราได้เรียนรู้มาแค่นั้น หลังจากที่ได้ศึกษาเรื่องเห็ดหลินจือมาหลายปี สิ่งที่เคยรู้มาว่า "มะเร็งรักษาไม่หาย" ไม่ได้เป็นความจริงเลยครับ เพราะทุกโรคจะถูกบำบัดรักษา 2 แบบ

1. รักษาที่ปลายเหตุ คือ จะตัดตรงนั้นออก ตัดตรงนี้ออก พบคนที่หายจริงๆ มีน้อยมากครับ
2. รักษาที่ต้นเหตุ คือ การแก้ปัญหาที่ต้นทางของโรค เสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย งดอาหารที่เลี้ยงมะเร็ง แบบที่สองพบคนที่หายจริงๆ ในปริมาณที่มากกว่า

ที่สำคัญที่สุดคือความหวังและกำลังใจ เป็นสิ่งที่จะไปกระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้ สามารถตอบรับกับยาที่เราทานเข้าไป เพื่อให้ยากัฐเซลล์ทำงานร่วมกันได้

ผมขอยกตัวอย่างมา 1 คนครับ ที่หมอบอกว่าอยู่ได้ 3 เดือน ตอนนี้ 10 กว่าปีแล้ว เขากลับมีชีวิตเกมือนคนปกติครับ

คุณสุวิมล มุกทา
เป็นมะเร็ง หมดหวังกับชีวิต
กินเห็ดหลินจือ
หายเป็นปลิดทิ้ง !!!
ดิฉัน อยู่บ้านเลขที่ 64 หมู่ 3 ตำบลร้องเข็ม อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ เกิดวันที่ 24 สิงหาคม 2511 พออายุได้ 32 ปี ที่ฉันป่วยเป็นโรคมะเร็งที่มดลูกและเต้านมข้างขวา ได้รับการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันโดยการผ่าตัดออก แล้วก็รักษาด้วยยาเคมี (คีโม) คุณหมอได้นัดให้ยาเคมี 24 ครั้ง แต่ร่างกายดิฉันรับได้ เพียง 4 ครั้ง เพราะร่างกายของดิฉันทรุดลงทุกวัน จนน้ำหนักเหลือเพียง 38 กิโลกรัม จากน้ำหนักของดิฉัน 50 กิโลกรัม ดิฉันเริ่มเดินไม่ค่อยไหว
อยู่มาวันหนึ่งมีเพื่อนคนหนึ่งได้แนะนำเอาเห็ดหลินจือรากและดอก 6 สายพันธุ์ ของบริษัท แด๊กซิน (ประเทศไทย) จำกัด มาให้ทาน ดิฉันจะเริ่มทางวันแรกคือราก 3 วันละ 3 เวลา พอครบ 3 วัน ดิฉันได้เพิ่มดอก 2 แคปซูล 3 เวลา หลังทานได้ 5 วัน ดิฉันรู้สึกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากที่ร่างกายเคยอ่อนเพลีย ไม่แข็งแรง แต่กลับหายใจสะดวกยิ่งขึ้น ทำให้ดิฉันมีกำลังใจเพิ่มขึ้นไปด้วย ดิฉันทานได้จนถึง 10 วัน ดิฉันทานรากเพิ่มจาก 3 เป็น 5 แคปซูล และดอกเพิ่มจาก 2 เป็น 3 แคปซูลต่อมื้อ ทานวันละ 3 มื้อ รวมเพลงมือและ 8 แคปซูล ทำให้ดิฉันรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ดิฉันสนใจผลิตภัณฑ์มากขึ้น จนที่ฉันมีความคิดอยากทดลองด้วยตัวเองว่าดิฉันทานลงไปมากๆ แล้วจะมีผลอย่างไร หากเกิดอะไรไม่ดีกับร่างกายตัวเอง จะไม่เอาผิดกับใคร เพราะกินก็ตายไม่กินก็ตาย ดิฉันก็เลยลองกับตัวเอง เริ่มเพิ่มดอกเห็ดหลินจือโดยที่ไม่มีใครแนะนำ ดิฉันได้เพิ่มเห็ดหลินจือทุก 5 วัน แล้วก็เพิ่มจาก 3 มื้อเป็น 4 มื้อ จาก 4 มือเป็น 5 มือ และเพิ่มมากสุด 180 แคปซูลต่อวัน และดิฉันก็ได้ทดลองตามขั้นตอนที่ได้ทานขึ้นมา ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า สุขภาพแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ดิฉันทานเห็ดหลินจือได้ 7 ปี ชื่อมะเร็งก็ได้ลดลงเหมือนคนปกติ
ตอนนี้ดิฉันอายุได้ 46 ปี ยังทานเห็ดหลินจือรากและดอกอย่างละ 5 แคปซูลต่อมือวันละ 3 เวลา ผ่านมาครบ 14 ปีแล้ว ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เหมือนคนปกติ จากที่ป่วยแทบสิ้นหวังกับชีวิต วันนี้เดลินิวส์คืนชีวิตให้ดิฉันอีกครั้งหนึ่ง ขอบคุณบริษัทแด๊กซินมากๆ ค่ะ

สนใจเห็ดหินจือเพื่อสมทบทุน
https://line.me/ti/p/BD7tst8dX2

เห็ดหลินจือแดง DAXIN เห็ดหลินจือ กับ เส้นเลือดฝอยตีบ

เห็ดหลินจือ กับ เส้นเลือดฝอยตีบ

เห็ดหลินจือ กับ เส้นเลือดฝอยตีบ
คุณศิริมา พิทักษ์วาปี
เส้นเลือดฝอยตีบ พูดไม่ชัด แต่หายขาด... ด้วยเห็ดหลินจือ!!!
ดิฉันมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับ เส้นโลหิตฝอยตีบ ทำให้ปากเบี้ยวพูดไม่ชัด ทานอาหารลำบากมาก เป็นได้ 2 สัปดาห์ DD สุภาวดี อาษาวงค์ ได้แนะนำให้ทานเห็ดหลินจือรากและดอก 6 สายพันธุ์ ของบริษัท แด๊กซิน (ประเทศไทย) จำกัด อาการปากเบี้ยวก็ค่อยๆ ดีขึ้น ดิฉันทานเห็ดหลินจือมาแล้วเป็นเวลา 1 เดือนกับ 20 วัน ดิฉันดีใจมากที่อาการของดิฉันดีขึ้น และขอขอบคุณ DD สุภาวดี อาษาวงค์ ที่แนะนำสิ่งดีๆ
ปัจจุบัน ดิฉันทานรากและดอกเห็ดหลินจืออย่างละ 2 แคปซูล และส้มแขกผสมเห็ดหลินจือ 2 แคปซูล เช้า – เย็นเป็นประจำ ทำให้สุขภาพแข็งแรงดีขึ้นมากเลยค่ะ

ราคาสินค้า

ติดต่อเรา

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ข้าวโอ๊ต กับคุณประโยชน์และความงาม

ข้าวโอ๊ต กับคุณประโยชน์และความงาม

ข้าวโอ๊ต ข้าวโอ๊ต และข้าวโอ๊ต คุ้นๆ กันใช่ไหมคะกับคำๆ นี้ ที่มักจะเป็นส่วนผสมของอาหารธัญพืชต่างๆ ที่มีจำหน่ายตามร้านค้าทั่วไป แต่ถ้าจะถามว่าข้าวโอ๊ต รูปร่างหน้าตาเป็นแบบใด หรือมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของเราอย่างไรบ้าง 

          หลายคนอาจจะยังสงสัย และนึกภาพกันไม่ออก วันนี้เราจะมาเจาะลึกเคล็ดลับความอร่อยของข้าวโอ๊ต พร้อมคุณประโยชน์ต่อร่างกายที่จะกลายมาเป็นเมนูอร่อยๆ มื้อต่อไปของคุณสาวๆ แน่นอนค่ะ

    เหตุผลดีๆ ที่ข้าวโอ๊ตมีประโยชน์          ข้าวโอ๊ตมักนิยมนำมารับประทานเป็นอาหารเช้า เพราะเป็นธัญพืชที่ให้พลังงานสูง แต่ให้ไขมันที่ต่ำ มีวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างทันที และสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ข้าวโอ๊ตจึงนับเป็น

         อาหารที่ทำให้เราได้รับสารอาหารที่หลากหลาย มีเส้นใยมาก ทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะลำไส้เราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลดอาการท้องผูก จึงดูดซึมน้ำตาลไขมันของเสียต่างๆ ได้ดี ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด ทำให้เรารู้สึกอิ่มนาน ไม่หิวระหว่างมื้อบ่อยๆ นอกจากนี้ยังมีสารประกอบที่สำคัญคือ เบต้ากลูแคน เป็นเส้นใยอาหารที่สามารถละลายในน้ำได้ดี มีคุณสมบัติคอยดูดซับคอเลสตอรอลในลำไส้เล็ก และปล่อยเป็นของเสียออกจากร่างกาย การรับประทานข้าวโอ๊ตจึงช่วยในการลดคอเลสตอรอล ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และโรคหัวใจได้ผลดี ซึ่งองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) รับรองผลการศึกษาวิจัยว่า หากร่างกายได้รับเบเต้ากลูแคนอย่างน้อย 3 กรัมต่อวันจะสามารถช่วยลดปัญหาคอเลสเตอรอลได้ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอล และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

    ข้าวโอ๊ต กินอย่างไรได้ประโยชน์? 
          เรามักนิยมนำข้าวโอ๊ตมารับประทานเป็นอาหารเช้าเพื่อสุขภาพ เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน ข้าวโอ๊ต 100 กรัม ให้พลังงาน 390 กิโลแคลอรี (1,630 กิโลจูล) คาร์โบไฮเดรต 66 กรัม ไขมัน 7 กรัม โปรตีน 17 กรัม วิตามินบี 5 1.3 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 5 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 177 มิลลิกรัม และกากใยไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ 4 กรัม เราสามารถนำข้าวโอ๊ตมาปรุงเป็นหลากหลายเมนูอร่อยได้ไม่ซ้ำ สามารถรับประมานได้ตลอด และรวดเร็ว เหมาะกับวิถีชีวิตชาวเมืองที่รีบเร่งของทุกวันนี้ด้วยค่ะ สบายอารมณ์มีสูตรข้าวโอ๊ตอร่อยๆ มานำเสนอ เผื่อสาวๆ อยากจะทำรับประทานที่บ้านบ้างก็ไม่ว่ากันค่ะ

           • ตอนเช้าๆ ลองซื้อน้ำเต้าหู้เจ้าอร่อย หรือนมสดสักแก้ว แล้วผสมข้าวโอ๊ตลงไป (หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปค่ะ) พร้อมลูกเกด ผลไม้สดต่างๆ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ถั่วลิสง ช่วยเพิ่มพลังให้เช้านี้อย่างสดใส อิ่มท้องอยู่นานไปจนมื้อเที่ยงเลยค่ะ
           • โจ๊กข้าวโอ๊ตร้อนๆ นำข้าวมาต้มให้เปื่อยจนกลายเป็นโจ๊ก แล้วปรุงน้ำซุปให้ได้รสชาติตามต้องการ จากนั้นเติมข้าวโอ๊ตลงไป ตามด้วยหมูสับ และผักตามชอบสับละเอียด ก็จะได้โจ๊กข้าวโอ๊ตร้อนๆ มากคุณค่า
    ข้าวโอ๊ตกับความงาม           นอกจากนี้ข้าวโอ๊ตยังสามารถนำมาใช้บำรุงความสวยความงามของสาวๆ กันได้อีกมากมาย นำมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ เช่น แชมพู โลชั่นทาผิว สบู่ข้าวโอ๊ต เพราะข้าวโอ๊ตมีวิตามินอี เป็นกลีเซอรีนตามธรรมชาติ คงความชุ่มชื่นของผิวได้ดี นอกจากนี้เรายังสามารถนำข้าวโอ๊ตมาผสมกับน้ำผึ้ง แล้วนำมาสครับผิวได้อีกด้วยค่ะ หรือสามารถนำมาผสมน้ำอาบ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ขึ้น แต่ไม่มัน เพราะมีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยดูดซับความมันออกจากผิวได้


ที่มา ... Sabai-arom



สเต็มเซลล์ของแอปเปิ้ล คืออะไร

สเต็มเซลล์ของแอปเปิ้ล 

PhytoCellTec™ Malus Domestica หรือ Apple Stem Cell Extract เป็น stem cell ของแอปเปิ้ล ได้จากแอปเปิ้ลพันธุ์หายาก (Swiss Apple) ที่มีต้นกำเนิดมาจาก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดย stem cell ถูกบรรจุอยู่ใน liposome เพื่อให้สามารถซึมสู่ชั้นผิวได้ บำรุงให้เซลล์ของผิวหนังมีอายุยืนยาวขึ้น ซึ่งเป็นผลทำให้ชะลอเวลาอายุของผิวได้ ให้ผิวดูอ่อนเยาว์เสมอ

          เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ความเครียด รวมถึงมลภาวะต่างๆ ส่งผลให้สเตมเซลล์ในเซลล์ผิวหนังลดลงตามธรรมชาติ แต่ Apple Stem Cell จะช่วยคงสภาพ (Epigenetic) และยืดอายุ (Metabolites) สเตมเซลล์ในเซลล์ผิวหนังจาการถูกทำลายจากมลภาวะต่างๆ รวมถึงซ่อมแซมฟื้นฟูเซลล์ผิวให้แข็งแรงอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้เซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่มีความแข็งแรงและยืดหยุ่น

Apple Stem Cell สเต็มเซลล์ของแอปเปิ้ล โดย stem cell ถูกบรรจุอยู่ใน liposome เพื่อให้สามารถซึมสู่ชั้นผิวได้ บำรุงให้เซลล์ของผิวหนังมีอายุยืนยาวขึ้น ซึ่งเป็นผลทำให้ชะลอเวลาอายุของผิวได้ ให้ผิวดูอ่อนเยาว์เสมอ มักใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอย อยู่ในรูปของเจล เซรั่ม โลชั่น หรือ ครีม สามารถละลายน้ำได้

ขอบคุณข้อมูลจากเคมีภัณฑ์

ระวัง!!! เบาหวานภัยเงียบ

ระวัง!!! เบาหวานภัยเงียบ
เบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่บ่อนทำลายร่างกายช้าๆ เหมือนไฟไหม้ฟาง ถ้าไม่รักษาให้ดีจะมีผลเสียต่ออวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย นับตั้งแต่ สมอง เส้นประสาท หัวใจ ตับไตไส้พุง แขนขา อวัยวะเพศ ฯลฯ ขณะนี้โรคเบาหวานกำลังระบาดเงียบๆ แบบโลกาภิวัตน์ เนื่องจากความอยู่ดีกินดีของพลโลก จากการวิจัยพบว่าในโลกนี้คนเป็นเบาหวานมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2000 มีความชุก 2.8% ของประชากร และแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.4% ในปี 2030 นับเป็นจำนวนคนได้ 171 ล้านคนในปี 2000 และจะกลายเป็น 366 คนในปี 2030 สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้มีคนเป็นเบาหวานมากคือ ประชากรวัยเกิน 60 ปี มีมากขึ้นๆ

เบาหวานเป็นโรคที่มีความผิดปกติของการใช้น้ำตาลกลูโคสในร่างกาย กลูโคสเป็นสารหลักที่ให้พลังงานต่อเซลล์ของร่างกาย โดยปกติฮอร์โมนอินซูลิน (insulin) ช่วยให้น้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์ไขมัน การเป็นเบาหวาน อาจจะเกิดจากการที่ร่างกายผลิตอินซูลินออกมาจากตับอ่อนไม่พอใช้ หรือมีอินซูลินพอแต่ออกฤทธิ์ไม่ได้ดี เมื่ออินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดีหรือไม่พอ จะทำให้น้ำตาลกลูโคสไม่เข้าเซลล์ แต่จะคั่งอยู่ในกระแสเลือด ระดับกลูโคสในเลือดที่มากเกินไป จะทำลายเซลล์ในร่างกาย ทำให้เกิดผลเสียตามมาอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง หลายคนไม่รู้ตัวจนเกิดภาวะแทรกซ้อนแล้ว
การตรวจยืนยันภาวะเบาหวานที่ง่ายๆ คือการเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลก่อนอาหารเช้า หลังจากอดอาหารข้ามคืนมา ระดับน้ำตาลวัดเป็น มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร (หรือ 100 ซี.ซี.) ถ้าระดับอยู่ระหว่าง 70 และ 109 มก./ดล. ถือว่าปกติ ถ้าระดับมากกว่า 126 มก./ดล. ถือว่าเป็นเบาหวาน ถ้าระดับอยู่ระหว่าง 110 และ 125 มก./ดล. ถือว่าอยู่ในภาวะเกือบเป็นเบาหวาน (ระดับเสี่ยง)

สมาคมเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำว่า ควรตรวจเช็คเบาหวานที่อายุ 45 ปี โดยเฉพาะคนที่อ้วน ถ้าปกติก็ให้ทำซ้ำทุก 3 ปี สำหรับคนที่ตรวจพบน้ำตาลในระดับเสี่ยงให้ตรวจซ้ำทุก 1 ปี

อาการของโรคเบาหวาน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณรู้ตัว หรือสงสัยว่าตัวเองจะเป็นเบาหวานหรือเปล่า (โดยไม่ต้องรอให้มดมาตอมฉี่แบบสมัยโบราณ) คือ
กระหายน้ำมากและฉี่บ่อย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น มีฤทธิ์ไปดูดเอาน้ำออกมาจากเซลล์สมอง ทำให้รู้สึกกระหายน้ำ เมื่อดื่มน้ำมากขึ้น จึงปัสสาวะมากขึ้น
หิวมาก เมื่อเซลล์ร่างกายขาดน้ำตาล จะทำให้กล้ามเนื้อและอวัยวะของร่างกายขาดพลังงาน จึงรู้สึกหิวมากขึ้นอย่างแรง แม้ว่าเราจะกินอาหารเข้าไปแล้ว ความหิวก็อาจจะยังไม่คลาย
น้ำหนักลด เมื่อเซลล์ขาดน้ำตาลขาดพลังงานนานเข้า จะทำให้กล้ามเนื้อและไขมันถูกเผาผลาญ ลดขนาดลง แม้ว่าเราจะกินอาหารมากขึ้นกว่าธรรมดาก็ตาม
อ่อนเพลีย เนื่องจากเซลล์ขาดน้ำตาล จึงทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและหงุดหงิด
สายตาพร่ามัว เมื่อน้ำตาลในเลือดสูง มันจะดูดน้ำออกจากเนื้อเยื่อของเลนส์และตา ทำให้สายตาพร่าได้
แผลหายช้าและติดเชื้อบ่อย เบาหวานทำให้การหายของแผล และการต่อสู้กับเชื้อโรคผิดปกติ ในผู้หญิงการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะและช่องคลอดเกิดขึ้นบ่อย
ถ้าใครมีอาการตามที่กล่าวถึงข้างบนนั้น ก็ควรจะสงสัยว่าอาจจะเป็นโรคเบาหวาน ควรจะทำการตรวจเช็คเสียให้แน่ใจ คนที่ไม่มีอาการหลายคนก็สงสัยว่า มีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้างที่ทำให้ต้องตรวจเช็คเบาหวาน เพื่อจะได้ทำการป้องกันและรักษาโรคเสียแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพ

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน
ระดับน้ำตาลในเลือด ระหว่าง 110 และ 125 มก./ดล. ถือว่าอยู่ในเกณฑ์เสี่ยง (หรือภาวะก่อนเป็นเบาหวาน)
อายุ คนที่อายุเกิน 45 ปี ควรได้รับการตรวจเช็คเบาหวาน
มีคนเป็นโรคเบาหวานในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ หรือพี่ น้อง ทำให้ความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานเพิ่มมากขึ้น
เชื้อชาติ ในคนบางเชื้อชาติมีอัตราการเกิดเบาหวานมากกว่าเชื้อชาติอื่น เช่น คนผิวดำ คนเชื้อชาติสเปน อเมริกันอินเดียน
ออกกำลังน้อย การออกกำลังยิ่งน้อยยิ่งมีความเสี่ยงมาก การออกกำลังกายไม่ว่าจะจากการทำงาน หรือจากการเล่นกีฬา ช่วยควบคุมน้ำหนัก ช่วยให้ร่างกายใช้น้ำตาล ทำให้เซลล์มีความไวต่อการใช้อินซูลิน ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อซึ่งทำให้การใช้กลูโคสดีขึ้น
ภาวะน้ำหนักเกินปกติ คนอ้วนเป็นเบาหวานมากกว่าคนผอม
เบาหวานตอนท้อง คนที่ตรวจพบเบาหวานตอนท้อง หรือคลอดลูกที่มีน้ำหนักมากกว่า 4 กก. (9 ปอนด์) มีความเสี่ยงต่อเบาหวานมากขึ้น
ถ้าคุณมีความเสี่ยงเหล่านี้ก็ควรจะเช็คเบาหวานโดยการตรวจเลือด
ที่กล่าวมาแล้วส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือ การควบคุมน้ำหนักและการออกกำลังกาย การทำอย่างนั้นได้ สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้อย่างชะงัด จากผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารนิวอิงแลนด์เจอร์นัลออฟเมดิซินเมื่อไม่นาน มานี้ พบว่าเมื่อติดตามผู้เข้าร่วมการศึกษาจำนวนมากกว่า 3,000 รายที่มีน้ำหนักเกินและมีระดับน้ำตาลในเกณฑ์เสี่ยงเป็นเวลานาน 4 ปี คนที่ออกกำลังกายและลดน้ำหนักได้ เป็นเบาหวานน้อยกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายหรือไม่ลดน้ำหนักถึง 58%

ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจจะจบลงด้วยภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนในระยะสั้น คือการเกิดอาการทางสมอง ทำให้หมดสติหรือชัก เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก เช่น เกิน 200 มก./ดล.ควรจะปรึกษาแพทย์ด่วน หรือเกิดจากภาวะสารคีโตนในเลือดเพิ่มสูงขึ้น (ketosis) สารคีโตน เกิดจากการเผาผลาญไขมันออกมาเป็นพลังงาน (เนื่องจากใช้กลูโคสไม่ได้) ซึ่งมักจะเกิดเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก เช่น 250 มก./ดล.
ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
-
โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวานมีฤทธิ์ทำลายหลอดเลือดทั่วไปในร่างกาย เมื่อหลอดเลือดเสียไป การไหลเวียนของเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆ ก็เสียไป ทำให้เซลล์ขาดออกซิเจนและสารอาหาร ทำให้เกิดโรคสมองขาดเลือด (อัมพฤกษ์ อัมพาต) หัวใจขาดเลือด จากผลงานวิจัยในปี 2007 พบว่าคนเป็นเบาหวานเป็นโรคสมองขาดเลือด เพิ่มขึ้น 2 เท่า (ภายใน 5 ปีของการรักษาเบาหวาน) ประมาณ 75% ของคนไข้เบาหวาน ตายด้วยโรคของหัวใจหรือหลอดเลือด
-
ความเสียหายต่อเส้นประสาท เบาหวานทำลายหลอดเลือดฝอยที่ไปเลี้ยงเส้นประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ขา ซึ่งทำให้เกิดอาการชา เจ็บซ่าๆ แสบๆ ที่ปลายนิ้วเท้าหรือนิ้วมือซึ่งค่อยๆ ขยายบริเวณขึ้นบนเรื่อยๆ ถ้าไม่รักษาความรู้สึกของมือเท้าจะเสียไป เกิดผลเสียมาก เช่น ทำให้เกิดแผลที่เท้าได้ เนื่องจากเดินไปเหยียบของร้อนหรือของมีคมแล้วไม่รู้สึกตัว กว่าจะมารักษาก็เกิดเป็นแผลติดเชื้อเสียแล้ว ทำให้การติดเชื้อลุกลามหรือเรื้อรังถึงขนาดต้องเสียขา ถ้าเส้นประสาทของลำไส้เสียการทำงาน คนไข้จะมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียนท้องผูก ท้องเดินได้ นอกจากนี้ ในผู้ชายก็อาจจะเกิดภาวะบกพร่องทางเพศได้ด้วย
-
เบาหวานมีผลต่อหลอดเลือดที่ไต ทำให้ไตเสียการทำงานจนถึงวาย มีผลต่อหลอดเลือดที่จอตา มีผลให้ตาบอด หรือเป็นต้อหิน ต้อกระจกเพิ่มมากขึ้น ผิวหนังและเยื่อบุในปากติดเชื้อได้ง่ายขึ้น เหงือกก็ติดเชื้อง่ายขึ้น ภาวะกระดูกพรุนก็พบได้มากในคนไข้เบาหวาน โรคอัลไซเมอร์ (สมองเสื่อม) ก็เกิดได้มากขึ้นในคนเป็นเบาหวาน เนื่องหลอดเลือดในสมองเสียหาย เลือดพาออกซิเจนไปเลี้ยงสมองน้อยลง หรือสมองขาดกลูโคสเนื่องจากขาดอินซูลิน
คนไทยสมัยนี้มีอันจะกินมากขึ้น แม้แต่ชาวบ้านตาสีตาสาที่เราเคยคิดเห็นว่าไม่เป็นโรค ก็เกิดโรคเบาหวานมากขึ้น เนื่องจากมีน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนักจึงเป็นนโยบายที่ดี ประกอบด้วย การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย 
การควบคุมอาหารมีข้อแนะนำดังนี้
สิ่งที่ควร ลด ละ หรือ เลิก ลดจำนวนอาหารที่เคยกิน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก เช่น เนื้อสัตว์ ดื่มนมพร่องไขมัน หลีกเลี่ยงอาหารเป็นเภทเนื้อทอด เนื้อกระทะ หลีกเลี่ยงหนังสัตว์ อาหารใส่กระทิ อาหารประเภทผัด อาหารขยะซึ่งส่วนมากเป็นอาหารทอดโรยเกลือ ลดการกินไข่แดง เลิกการกินขนมหวาน ถ้าอดไม่ได้จริง ๆ อาจจะต้องกินขนมที่ใส่น้ำตาลเทียมแทน
สิ่งที่ควรกิน กินอาหารประเภทยำ ตำ สลัดน้ำไส เลือกกินผักผลไม้ที่ไม่สุกงอมมากขึ้น ควรกินเนื้อปลาแทนเนื้อสัตว์อื่น ถ้าอดกินเนื้อสัตว์อื่นไม่ได้ควรกินเนื้อต้ม อบ ตุ๋น ปิ้ง ย่าง คั่ว กินอาหารช้าๆ เคี้ยวนานๆ กินอาหารตอนที่ยังไม่ค่อยหิว เช่น หลังออกกำลังมาใหม่ๆ อย่ารอให้หายเหนื่อยจนหิวจัดแล้วกิน
การออกกำลังกาย

ควรเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิคส์ เช่น เต้นแอโรบิคส์ วิ่ง ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ หรือเดินเร็ว สำหรับการเดินเร็ว เป็นสิ่งที่ดีที่เกือบทุกคนทำได้ ทำได้ง่าย ไม่ค่อยบาดเจ็บ แทบจะไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือ ไม่ต้องมีชุดเลิศหรู ใช้รองเท้าหุ้มส้นธรรมดาก็พอ ถ้าให้ดีควรเดินกับเพื่อนเพื่อความเพลิดเพลิน เดินวันละ 40 ถึง 60 นาที อาทิตย์ละ 4 วัน ก็พอเพียงที่จะช่วยลดน้ำหนัก ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจ และถ้าจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เขาแนะนำให้เดินเร็ววันละ 1 ชั่วโมงทุกวัน

เทคนิคการเดินเร็วที่ผมจะขอแนะนำมี 3 ท่า คือ
1.
ท่าเดินก้าวยาว เหยีดแขนที่ข้อศอกแกว่ง และเดินให้เร็วเต็มที่
2.
ท่าเดินก้าวสั้น งอแขนที่ข้อศอก แล้วแกว่งแขนเร็ว และก้าวขาสั้นๆ เร็วๆ ตามจังหวะแขน
3.
การเดินเหมือนข้อ 2 แต่เวลาก้าวขาให้ฉีกเฉียงออกไปข้างหน้าและด้านข้าง เวลาเดินจึงต้องโยกตะโพกเล็กน้อยเหมือนที่นักเดินเร็วเขาทำกัน
เวลาไปเดินควรใช้ 3 ท่าที่ว่านี้ผสมผสานกันไป จะไม่ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและเมื่อยขา

เบาหวานเป็นโรคร้ายที่แอบทำลายสุขภาพช้าๆ แต่เราสามารถป้องกันได้ ด้วยการเอาใจใส่ให้ความสำคัญเรื่องอาหาร และการออกกำลังกาย อย่าปล่อยให้สายเกินไปจนภาวะแทรกซ้อนร้ายๆ (เช่น สมองเสื่อม เซ็กส์เสื่อม) เกิดขึ้นกับคุณเสียก่อนแล้วจึงลงมือทำ เข้าทำนอง “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” !!!

พล.ต.ต.นพ.นริศ เจนวิริยะ ศัลยแพทย์

 แหล่งข้อมูล : นิตยสาร HealthToday

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Daxin Organic Cleansing Oil

Daxin Organic Cleansing Oil
ใหม่... Daxin Organic Cleansing Oil...
เช็ดทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก เมคอัพหนาแค่ไหนก็มั่นใจได้ผิวหน้าสะอาดพร้อมสารบำรุงจากธรรมชาติช่วยบำรุงผิวหน้าให้ เนียนนุ่ม ชุ่มชื่น ใช้ได้ทั่วใบหน้ารอบดวงตา และริมฝีปาก
ด้วยขั้นตอนทำความสะอาดดังนี้

วิธีการใช้ให้มีประสิทธิภาพ

Step 1
ปั้มคลินซิ่ง  ออยซ์    ประมาณ  4  ครั้ง  ลงบนฝ่ามือที่แห้ง

Step 2
นำคลินซิ่งออยซ์   ลูบไล้ให้ทั่วใบหน้า  ใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง  นวดเบาๆ  บริเวณผิวหน้า  รอบดวงตา และ ริมฝีปาก  เพื่อทำความสะอาดเครื่องสำอาง

Step 3
ล้างมือให้สะอาด    แล้วนำปลายนิ้วกลางและนิ้วนางที่เปียกอยู่  นวดซ้ำบนผิวหน้าให้ทั่วอีกครั้ง  จนเนื้อคลินซิ่งออยซ์  กลายเป็นน้ำนม

Step 4
นำน้ำอุ่น หรือน้ำสะอาด    ล้างทำความสะอาดผิวหน้าตามปกติ

Daxin Better Life & Health เพื่อชีวิต และสุขภาพที่ดีของคนไทย
แด๊กซิน...ธุรกิจเครือข่ายขายตรงของคนไทย สร้างรายได้ที่มั่นคงพร้อมกับสุขภาพที่ดีของทุกคน...
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร.0-2727-7222
www.daxin.co.th