วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ข้าวโอ๊ต กับคุณประโยชน์และความงาม

ข้าวโอ๊ต กับคุณประโยชน์และความงาม

ข้าวโอ๊ต ข้าวโอ๊ต และข้าวโอ๊ต คุ้นๆ กันใช่ไหมคะกับคำๆ นี้ ที่มักจะเป็นส่วนผสมของอาหารธัญพืชต่างๆ ที่มีจำหน่ายตามร้านค้าทั่วไป แต่ถ้าจะถามว่าข้าวโอ๊ต รูปร่างหน้าตาเป็นแบบใด หรือมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของเราอย่างไรบ้าง 

          หลายคนอาจจะยังสงสัย และนึกภาพกันไม่ออก วันนี้เราจะมาเจาะลึกเคล็ดลับความอร่อยของข้าวโอ๊ต พร้อมคุณประโยชน์ต่อร่างกายที่จะกลายมาเป็นเมนูอร่อยๆ มื้อต่อไปของคุณสาวๆ แน่นอนค่ะ

    เหตุผลดีๆ ที่ข้าวโอ๊ตมีประโยชน์          ข้าวโอ๊ตมักนิยมนำมารับประทานเป็นอาหารเช้า เพราะเป็นธัญพืชที่ให้พลังงานสูง แต่ให้ไขมันที่ต่ำ มีวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างทันที และสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ข้าวโอ๊ตจึงนับเป็น

         อาหารที่ทำให้เราได้รับสารอาหารที่หลากหลาย มีเส้นใยมาก ทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะลำไส้เราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลดอาการท้องผูก จึงดูดซึมน้ำตาลไขมันของเสียต่างๆ ได้ดี ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด ทำให้เรารู้สึกอิ่มนาน ไม่หิวระหว่างมื้อบ่อยๆ นอกจากนี้ยังมีสารประกอบที่สำคัญคือ เบต้ากลูแคน เป็นเส้นใยอาหารที่สามารถละลายในน้ำได้ดี มีคุณสมบัติคอยดูดซับคอเลสตอรอลในลำไส้เล็ก และปล่อยเป็นของเสียออกจากร่างกาย การรับประทานข้าวโอ๊ตจึงช่วยในการลดคอเลสตอรอล ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และโรคหัวใจได้ผลดี ซึ่งองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) รับรองผลการศึกษาวิจัยว่า หากร่างกายได้รับเบเต้ากลูแคนอย่างน้อย 3 กรัมต่อวันจะสามารถช่วยลดปัญหาคอเลสเตอรอลได้ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอล และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

    ข้าวโอ๊ต กินอย่างไรได้ประโยชน์? 
          เรามักนิยมนำข้าวโอ๊ตมารับประทานเป็นอาหารเช้าเพื่อสุขภาพ เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน ข้าวโอ๊ต 100 กรัม ให้พลังงาน 390 กิโลแคลอรี (1,630 กิโลจูล) คาร์โบไฮเดรต 66 กรัม ไขมัน 7 กรัม โปรตีน 17 กรัม วิตามินบี 5 1.3 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 5 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 177 มิลลิกรัม และกากใยไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ 4 กรัม เราสามารถนำข้าวโอ๊ตมาปรุงเป็นหลากหลายเมนูอร่อยได้ไม่ซ้ำ สามารถรับประมานได้ตลอด และรวดเร็ว เหมาะกับวิถีชีวิตชาวเมืองที่รีบเร่งของทุกวันนี้ด้วยค่ะ สบายอารมณ์มีสูตรข้าวโอ๊ตอร่อยๆ มานำเสนอ เผื่อสาวๆ อยากจะทำรับประทานที่บ้านบ้างก็ไม่ว่ากันค่ะ

           • ตอนเช้าๆ ลองซื้อน้ำเต้าหู้เจ้าอร่อย หรือนมสดสักแก้ว แล้วผสมข้าวโอ๊ตลงไป (หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปค่ะ) พร้อมลูกเกด ผลไม้สดต่างๆ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ถั่วลิสง ช่วยเพิ่มพลังให้เช้านี้อย่างสดใส อิ่มท้องอยู่นานไปจนมื้อเที่ยงเลยค่ะ
           • โจ๊กข้าวโอ๊ตร้อนๆ นำข้าวมาต้มให้เปื่อยจนกลายเป็นโจ๊ก แล้วปรุงน้ำซุปให้ได้รสชาติตามต้องการ จากนั้นเติมข้าวโอ๊ตลงไป ตามด้วยหมูสับ และผักตามชอบสับละเอียด ก็จะได้โจ๊กข้าวโอ๊ตร้อนๆ มากคุณค่า
    ข้าวโอ๊ตกับความงาม           นอกจากนี้ข้าวโอ๊ตยังสามารถนำมาใช้บำรุงความสวยความงามของสาวๆ กันได้อีกมากมาย นำมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ เช่น แชมพู โลชั่นทาผิว สบู่ข้าวโอ๊ต เพราะข้าวโอ๊ตมีวิตามินอี เป็นกลีเซอรีนตามธรรมชาติ คงความชุ่มชื่นของผิวได้ดี นอกจากนี้เรายังสามารถนำข้าวโอ๊ตมาผสมกับน้ำผึ้ง แล้วนำมาสครับผิวได้อีกด้วยค่ะ หรือสามารถนำมาผสมน้ำอาบ ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ขึ้น แต่ไม่มัน เพราะมีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยดูดซับความมันออกจากผิวได้


ที่มา ... Sabai-arom



สเต็มเซลล์ของแอปเปิ้ล คืออะไร

สเต็มเซลล์ของแอปเปิ้ล 

PhytoCellTec™ Malus Domestica หรือ Apple Stem Cell Extract เป็น stem cell ของแอปเปิ้ล ได้จากแอปเปิ้ลพันธุ์หายาก (Swiss Apple) ที่มีต้นกำเนิดมาจาก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดย stem cell ถูกบรรจุอยู่ใน liposome เพื่อให้สามารถซึมสู่ชั้นผิวได้ บำรุงให้เซลล์ของผิวหนังมีอายุยืนยาวขึ้น ซึ่งเป็นผลทำให้ชะลอเวลาอายุของผิวได้ ให้ผิวดูอ่อนเยาว์เสมอ

          เนื่องจากอายุที่มากขึ้น ความเครียด รวมถึงมลภาวะต่างๆ ส่งผลให้สเตมเซลล์ในเซลล์ผิวหนังลดลงตามธรรมชาติ แต่ Apple Stem Cell จะช่วยคงสภาพ (Epigenetic) และยืดอายุ (Metabolites) สเตมเซลล์ในเซลล์ผิวหนังจาการถูกทำลายจากมลภาวะต่างๆ รวมถึงซ่อมแซมฟื้นฟูเซลล์ผิวให้แข็งแรงอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้เซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่มีความแข็งแรงและยืดหยุ่น

Apple Stem Cell สเต็มเซลล์ของแอปเปิ้ล โดย stem cell ถูกบรรจุอยู่ใน liposome เพื่อให้สามารถซึมสู่ชั้นผิวได้ บำรุงให้เซลล์ของผิวหนังมีอายุยืนยาวขึ้น ซึ่งเป็นผลทำให้ชะลอเวลาอายุของผิวได้ ให้ผิวดูอ่อนเยาว์เสมอ มักใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอย อยู่ในรูปของเจล เซรั่ม โลชั่น หรือ ครีม สามารถละลายน้ำได้

ขอบคุณข้อมูลจากเคมีภัณฑ์

ระวัง!!! เบาหวานภัยเงียบ

ระวัง!!! เบาหวานภัยเงียบ
เบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่บ่อนทำลายร่างกายช้าๆ เหมือนไฟไหม้ฟาง ถ้าไม่รักษาให้ดีจะมีผลเสียต่ออวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย นับตั้งแต่ สมอง เส้นประสาท หัวใจ ตับไตไส้พุง แขนขา อวัยวะเพศ ฯลฯ ขณะนี้โรคเบาหวานกำลังระบาดเงียบๆ แบบโลกาภิวัตน์ เนื่องจากความอยู่ดีกินดีของพลโลก จากการวิจัยพบว่าในโลกนี้คนเป็นเบาหวานมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2000 มีความชุก 2.8% ของประชากร และแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.4% ในปี 2030 นับเป็นจำนวนคนได้ 171 ล้านคนในปี 2000 และจะกลายเป็น 366 คนในปี 2030 สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้มีคนเป็นเบาหวานมากคือ ประชากรวัยเกิน 60 ปี มีมากขึ้นๆ

เบาหวานเป็นโรคที่มีความผิดปกติของการใช้น้ำตาลกลูโคสในร่างกาย กลูโคสเป็นสารหลักที่ให้พลังงานต่อเซลล์ของร่างกาย โดยปกติฮอร์โมนอินซูลิน (insulin) ช่วยให้น้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์ไขมัน การเป็นเบาหวาน อาจจะเกิดจากการที่ร่างกายผลิตอินซูลินออกมาจากตับอ่อนไม่พอใช้ หรือมีอินซูลินพอแต่ออกฤทธิ์ไม่ได้ดี เมื่ออินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดีหรือไม่พอ จะทำให้น้ำตาลกลูโคสไม่เข้าเซลล์ แต่จะคั่งอยู่ในกระแสเลือด ระดับกลูโคสในเลือดที่มากเกินไป จะทำลายเซลล์ในร่างกาย ทำให้เกิดผลเสียตามมาอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง หลายคนไม่รู้ตัวจนเกิดภาวะแทรกซ้อนแล้ว
การตรวจยืนยันภาวะเบาหวานที่ง่ายๆ คือการเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลก่อนอาหารเช้า หลังจากอดอาหารข้ามคืนมา ระดับน้ำตาลวัดเป็น มิลลิกรัมต่อเลือด 1 เดซิลิตร (หรือ 100 ซี.ซี.) ถ้าระดับอยู่ระหว่าง 70 และ 109 มก./ดล. ถือว่าปกติ ถ้าระดับมากกว่า 126 มก./ดล. ถือว่าเป็นเบาหวาน ถ้าระดับอยู่ระหว่าง 110 และ 125 มก./ดล. ถือว่าอยู่ในภาวะเกือบเป็นเบาหวาน (ระดับเสี่ยง)

สมาคมเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำว่า ควรตรวจเช็คเบาหวานที่อายุ 45 ปี โดยเฉพาะคนที่อ้วน ถ้าปกติก็ให้ทำซ้ำทุก 3 ปี สำหรับคนที่ตรวจพบน้ำตาลในระดับเสี่ยงให้ตรวจซ้ำทุก 1 ปี

อาการของโรคเบาหวาน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณรู้ตัว หรือสงสัยว่าตัวเองจะเป็นเบาหวานหรือเปล่า (โดยไม่ต้องรอให้มดมาตอมฉี่แบบสมัยโบราณ) คือ
กระหายน้ำมากและฉี่บ่อย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น มีฤทธิ์ไปดูดเอาน้ำออกมาจากเซลล์สมอง ทำให้รู้สึกกระหายน้ำ เมื่อดื่มน้ำมากขึ้น จึงปัสสาวะมากขึ้น
หิวมาก เมื่อเซลล์ร่างกายขาดน้ำตาล จะทำให้กล้ามเนื้อและอวัยวะของร่างกายขาดพลังงาน จึงรู้สึกหิวมากขึ้นอย่างแรง แม้ว่าเราจะกินอาหารเข้าไปแล้ว ความหิวก็อาจจะยังไม่คลาย
น้ำหนักลด เมื่อเซลล์ขาดน้ำตาลขาดพลังงานนานเข้า จะทำให้กล้ามเนื้อและไขมันถูกเผาผลาญ ลดขนาดลง แม้ว่าเราจะกินอาหารมากขึ้นกว่าธรรมดาก็ตาม
อ่อนเพลีย เนื่องจากเซลล์ขาดน้ำตาล จึงทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและหงุดหงิด
สายตาพร่ามัว เมื่อน้ำตาลในเลือดสูง มันจะดูดน้ำออกจากเนื้อเยื่อของเลนส์และตา ทำให้สายตาพร่าได้
แผลหายช้าและติดเชื้อบ่อย เบาหวานทำให้การหายของแผล และการต่อสู้กับเชื้อโรคผิดปกติ ในผู้หญิงการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะและช่องคลอดเกิดขึ้นบ่อย
ถ้าใครมีอาการตามที่กล่าวถึงข้างบนนั้น ก็ควรจะสงสัยว่าอาจจะเป็นโรคเบาหวาน ควรจะทำการตรวจเช็คเสียให้แน่ใจ คนที่ไม่มีอาการหลายคนก็สงสัยว่า มีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้างที่ทำให้ต้องตรวจเช็คเบาหวาน เพื่อจะได้ทำการป้องกันและรักษาโรคเสียแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพ

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน
ระดับน้ำตาลในเลือด ระหว่าง 110 และ 125 มก./ดล. ถือว่าอยู่ในเกณฑ์เสี่ยง (หรือภาวะก่อนเป็นเบาหวาน)
อายุ คนที่อายุเกิน 45 ปี ควรได้รับการตรวจเช็คเบาหวาน
มีคนเป็นโรคเบาหวานในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ หรือพี่ น้อง ทำให้ความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานเพิ่มมากขึ้น
เชื้อชาติ ในคนบางเชื้อชาติมีอัตราการเกิดเบาหวานมากกว่าเชื้อชาติอื่น เช่น คนผิวดำ คนเชื้อชาติสเปน อเมริกันอินเดียน
ออกกำลังน้อย การออกกำลังยิ่งน้อยยิ่งมีความเสี่ยงมาก การออกกำลังกายไม่ว่าจะจากการทำงาน หรือจากการเล่นกีฬา ช่วยควบคุมน้ำหนัก ช่วยให้ร่างกายใช้น้ำตาล ทำให้เซลล์มีความไวต่อการใช้อินซูลิน ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อซึ่งทำให้การใช้กลูโคสดีขึ้น
ภาวะน้ำหนักเกินปกติ คนอ้วนเป็นเบาหวานมากกว่าคนผอม
เบาหวานตอนท้อง คนที่ตรวจพบเบาหวานตอนท้อง หรือคลอดลูกที่มีน้ำหนักมากกว่า 4 กก. (9 ปอนด์) มีความเสี่ยงต่อเบาหวานมากขึ้น
ถ้าคุณมีความเสี่ยงเหล่านี้ก็ควรจะเช็คเบาหวานโดยการตรวจเลือด
ที่กล่าวมาแล้วส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือ การควบคุมน้ำหนักและการออกกำลังกาย การทำอย่างนั้นได้ สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้อย่างชะงัด จากผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารนิวอิงแลนด์เจอร์นัลออฟเมดิซินเมื่อไม่นาน มานี้ พบว่าเมื่อติดตามผู้เข้าร่วมการศึกษาจำนวนมากกว่า 3,000 รายที่มีน้ำหนักเกินและมีระดับน้ำตาลในเกณฑ์เสี่ยงเป็นเวลานาน 4 ปี คนที่ออกกำลังกายและลดน้ำหนักได้ เป็นเบาหวานน้อยกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายหรือไม่ลดน้ำหนักถึง 58%

ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจจะจบลงด้วยภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนในระยะสั้น คือการเกิดอาการทางสมอง ทำให้หมดสติหรือชัก เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก เช่น เกิน 200 มก./ดล.ควรจะปรึกษาแพทย์ด่วน หรือเกิดจากภาวะสารคีโตนในเลือดเพิ่มสูงขึ้น (ketosis) สารคีโตน เกิดจากการเผาผลาญไขมันออกมาเป็นพลังงาน (เนื่องจากใช้กลูโคสไม่ได้) ซึ่งมักจะเกิดเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก เช่น 250 มก./ดล.
ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
-
โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวานมีฤทธิ์ทำลายหลอดเลือดทั่วไปในร่างกาย เมื่อหลอดเลือดเสียไป การไหลเวียนของเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆ ก็เสียไป ทำให้เซลล์ขาดออกซิเจนและสารอาหาร ทำให้เกิดโรคสมองขาดเลือด (อัมพฤกษ์ อัมพาต) หัวใจขาดเลือด จากผลงานวิจัยในปี 2007 พบว่าคนเป็นเบาหวานเป็นโรคสมองขาดเลือด เพิ่มขึ้น 2 เท่า (ภายใน 5 ปีของการรักษาเบาหวาน) ประมาณ 75% ของคนไข้เบาหวาน ตายด้วยโรคของหัวใจหรือหลอดเลือด
-
ความเสียหายต่อเส้นประสาท เบาหวานทำลายหลอดเลือดฝอยที่ไปเลี้ยงเส้นประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ขา ซึ่งทำให้เกิดอาการชา เจ็บซ่าๆ แสบๆ ที่ปลายนิ้วเท้าหรือนิ้วมือซึ่งค่อยๆ ขยายบริเวณขึ้นบนเรื่อยๆ ถ้าไม่รักษาความรู้สึกของมือเท้าจะเสียไป เกิดผลเสียมาก เช่น ทำให้เกิดแผลที่เท้าได้ เนื่องจากเดินไปเหยียบของร้อนหรือของมีคมแล้วไม่รู้สึกตัว กว่าจะมารักษาก็เกิดเป็นแผลติดเชื้อเสียแล้ว ทำให้การติดเชื้อลุกลามหรือเรื้อรังถึงขนาดต้องเสียขา ถ้าเส้นประสาทของลำไส้เสียการทำงาน คนไข้จะมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียนท้องผูก ท้องเดินได้ นอกจากนี้ ในผู้ชายก็อาจจะเกิดภาวะบกพร่องทางเพศได้ด้วย
-
เบาหวานมีผลต่อหลอดเลือดที่ไต ทำให้ไตเสียการทำงานจนถึงวาย มีผลต่อหลอดเลือดที่จอตา มีผลให้ตาบอด หรือเป็นต้อหิน ต้อกระจกเพิ่มมากขึ้น ผิวหนังและเยื่อบุในปากติดเชื้อได้ง่ายขึ้น เหงือกก็ติดเชื้อง่ายขึ้น ภาวะกระดูกพรุนก็พบได้มากในคนไข้เบาหวาน โรคอัลไซเมอร์ (สมองเสื่อม) ก็เกิดได้มากขึ้นในคนเป็นเบาหวาน เนื่องหลอดเลือดในสมองเสียหาย เลือดพาออกซิเจนไปเลี้ยงสมองน้อยลง หรือสมองขาดกลูโคสเนื่องจากขาดอินซูลิน
คนไทยสมัยนี้มีอันจะกินมากขึ้น แม้แต่ชาวบ้านตาสีตาสาที่เราเคยคิดเห็นว่าไม่เป็นโรค ก็เกิดโรคเบาหวานมากขึ้น เนื่องจากมีน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนักจึงเป็นนโยบายที่ดี ประกอบด้วย การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย 
การควบคุมอาหารมีข้อแนะนำดังนี้
สิ่งที่ควร ลด ละ หรือ เลิก ลดจำนวนอาหารที่เคยกิน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก เช่น เนื้อสัตว์ ดื่มนมพร่องไขมัน หลีกเลี่ยงอาหารเป็นเภทเนื้อทอด เนื้อกระทะ หลีกเลี่ยงหนังสัตว์ อาหารใส่กระทิ อาหารประเภทผัด อาหารขยะซึ่งส่วนมากเป็นอาหารทอดโรยเกลือ ลดการกินไข่แดง เลิกการกินขนมหวาน ถ้าอดไม่ได้จริง ๆ อาจจะต้องกินขนมที่ใส่น้ำตาลเทียมแทน
สิ่งที่ควรกิน กินอาหารประเภทยำ ตำ สลัดน้ำไส เลือกกินผักผลไม้ที่ไม่สุกงอมมากขึ้น ควรกินเนื้อปลาแทนเนื้อสัตว์อื่น ถ้าอดกินเนื้อสัตว์อื่นไม่ได้ควรกินเนื้อต้ม อบ ตุ๋น ปิ้ง ย่าง คั่ว กินอาหารช้าๆ เคี้ยวนานๆ กินอาหารตอนที่ยังไม่ค่อยหิว เช่น หลังออกกำลังมาใหม่ๆ อย่ารอให้หายเหนื่อยจนหิวจัดแล้วกิน
การออกกำลังกาย

ควรเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิคส์ เช่น เต้นแอโรบิคส์ วิ่ง ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ หรือเดินเร็ว สำหรับการเดินเร็ว เป็นสิ่งที่ดีที่เกือบทุกคนทำได้ ทำได้ง่าย ไม่ค่อยบาดเจ็บ แทบจะไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือ ไม่ต้องมีชุดเลิศหรู ใช้รองเท้าหุ้มส้นธรรมดาก็พอ ถ้าให้ดีควรเดินกับเพื่อนเพื่อความเพลิดเพลิน เดินวันละ 40 ถึง 60 นาที อาทิตย์ละ 4 วัน ก็พอเพียงที่จะช่วยลดน้ำหนัก ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจ และถ้าจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เขาแนะนำให้เดินเร็ววันละ 1 ชั่วโมงทุกวัน

เทคนิคการเดินเร็วที่ผมจะขอแนะนำมี 3 ท่า คือ
1.
ท่าเดินก้าวยาว เหยีดแขนที่ข้อศอกแกว่ง และเดินให้เร็วเต็มที่
2.
ท่าเดินก้าวสั้น งอแขนที่ข้อศอก แล้วแกว่งแขนเร็ว และก้าวขาสั้นๆ เร็วๆ ตามจังหวะแขน
3.
การเดินเหมือนข้อ 2 แต่เวลาก้าวขาให้ฉีกเฉียงออกไปข้างหน้าและด้านข้าง เวลาเดินจึงต้องโยกตะโพกเล็กน้อยเหมือนที่นักเดินเร็วเขาทำกัน
เวลาไปเดินควรใช้ 3 ท่าที่ว่านี้ผสมผสานกันไป จะไม่ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและเมื่อยขา

เบาหวานเป็นโรคร้ายที่แอบทำลายสุขภาพช้าๆ แต่เราสามารถป้องกันได้ ด้วยการเอาใจใส่ให้ความสำคัญเรื่องอาหาร และการออกกำลังกาย อย่าปล่อยให้สายเกินไปจนภาวะแทรกซ้อนร้ายๆ (เช่น สมองเสื่อม เซ็กส์เสื่อม) เกิดขึ้นกับคุณเสียก่อนแล้วจึงลงมือทำ เข้าทำนอง “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” !!!

พล.ต.ต.นพ.นริศ เจนวิริยะ ศัลยแพทย์

 แหล่งข้อมูล : นิตยสาร HealthToday

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Daxin Organic Cleansing Oil

Daxin Organic Cleansing Oil
ใหม่... Daxin Organic Cleansing Oil...
เช็ดทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก เมคอัพหนาแค่ไหนก็มั่นใจได้ผิวหน้าสะอาดพร้อมสารบำรุงจากธรรมชาติช่วยบำรุงผิวหน้าให้ เนียนนุ่ม ชุ่มชื่น ใช้ได้ทั่วใบหน้ารอบดวงตา และริมฝีปาก
ด้วยขั้นตอนทำความสะอาดดังนี้

วิธีการใช้ให้มีประสิทธิภาพ

Step 1
ปั้มคลินซิ่ง  ออยซ์    ประมาณ  4  ครั้ง  ลงบนฝ่ามือที่แห้ง

Step 2
นำคลินซิ่งออยซ์   ลูบไล้ให้ทั่วใบหน้า  ใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง  นวดเบาๆ  บริเวณผิวหน้า  รอบดวงตา และ ริมฝีปาก  เพื่อทำความสะอาดเครื่องสำอาง

Step 3
ล้างมือให้สะอาด    แล้วนำปลายนิ้วกลางและนิ้วนางที่เปียกอยู่  นวดซ้ำบนผิวหน้าให้ทั่วอีกครั้ง  จนเนื้อคลินซิ่งออยซ์  กลายเป็นน้ำนม

Step 4
นำน้ำอุ่น หรือน้ำสะอาด    ล้างทำความสะอาดผิวหน้าตามปกติ

Daxin Better Life & Health เพื่อชีวิต และสุขภาพที่ดีของคนไทย
แด๊กซิน...ธุรกิจเครือข่ายขายตรงของคนไทย สร้างรายได้ที่มั่นคงพร้อมกับสุขภาพที่ดีของทุกคน...
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร.0-2727-7222
www.daxin.co.th

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เตือนตัวเอง!! ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจเตือน!! หลังกินข้าวไม่ควรดื่มน้ำเย็น เพราะอาจไม่เป็นแค่โรคหัวใจแต่อาจได้โรคร้ายเพิ่ม..!!


มีคำถาม : หลังทานข้าวในแต่ละมื้อเสร็จแล้ว ไม่ทราบว่า ท่านชอบทำอะไรหลังจากนั้นครับ หลายท่านอาจชอบกินน้ำเย็นเวลากินข้าวหรือหลังกินข้าวใช่มั้ยครับ? ทำอย่างนี้จะรู้สึกฟิน สบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลากินสุกี้ ก๋วยเตี๋ยว แกงจืดร้อนๆ แล้วตบท้ายด้วยโค้กเย็นๆสักแก้ว มันจะฟินแบบไม่ต้องถาม ถ้าคุณเคยชินกับการทำแบบนี้ คุณต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองนับจากวันนี้
Heart Attack
มาดูวิธีที่เราแนะนำกัน : คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจกล่าวไว้ว่า บทลงโทษที่รุนแรงสำหรับคนที่ดื่มน้ำเย็นหลังกินข้าวก็คือ อันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อหัวใจของคุณ
เป็นที่รู้กันกว่าการดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ หลังกินข้าวมันสบายอย่างบอกไม่ถูก แต่การดื่มน้ำเย็นๆหลังกินข้าวจะทำให้ไขมันที่คุณเพิ่งรับประทานไปในอาหารจับตัวเป็นก้อนในกระเพาะ
ทำให้การย่อยอาหารทำงานได้ช้าลง เมื่อไขมันก้อนพวกนี้โดนน้ำย่อยก็จะกระจายตัว และถูกดูดซึมโดยลำไส้ และในขณะเดียวกันก็เกาะติดอยู่ตามผนังลำไส้ด้วย
ต่อมามันก็จะกลายเป็นไขมันไปเกาะตามอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะอวัยวะสำคัญอย่างหัวใจด้วย และการเพิ่มขึ้นของ “ไขมันในอวัยวะภายใน” จะนำไปสู่การเป็นมะเร็งได้ เพราะฉะนั้นหลังกินข้าว ควรกินน้ำอุ่น ถึงจะลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งได้
สัญญาณของอาการหัวใจวายที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ:
1. ไม่ใช่ผู้มีอาการโรคหัวใจวายทุกคนจะต้องปวดแขนซ้าย อาการปวดคอก็เป็นอาการของคนที่กำลังจะหัวใจวายได้
2. เวลาเกิดอาการหัวใจวายไม่จำเป็นต้องเจ็บหน้าอก อาการคลื่นไส้และเหงื่อออกอย่างรุนแรงถึงจะเป็นอาการของหััวใจวายจริงๆ
3. 60% ของอาการหัวใจวายเกิดขึ้นขณะนอนหลับ โดยที่ผู้ป่วยจะปลุกไม่ตื่นอีกเลย
เพราะฉะนั้นต้องระวังเป็นพิเศษ เมื่อมีความรู้มาก ใส่ใจอาหารการกินในชีวิตประจำวันมากขึ้น ถึงจะมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนนาน
ที่มา share-si.com


https://line.me/ti/p/BD7tst8dX2

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2559

10 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก

10 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก


1.   มะเร็งต่อมลูกหมากมีอาการอะไรบ้าง?
      คนไข้มะเร็งต่อมลูกหมากอาจจะไม่มีอาการอะไรเลย แต่ในกลุ่มบุคคลที่มีอาการอาจจะมีอาการดังนี้
          - อาการของระบบทางเดินปัสสาวะ
        1. ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะได้
        2. ปัสสาวะต้องเบ่งนาน และปัสสาวะขัด
        3. ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะเวลากลางคืน
        4. ปัสสาวะอ่อนแรง ไม่พุ่ง
        5. อาจมีอาการปวด แสบ ระหว่างการถ่ายปัสสาวะ
              - มีปัญหาต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศ
- มีเลือดปนในปัสสาวะหรือปนกับอสุจิ
- อาจพบได้ว่ามีอาการปวดบริเวณหลังส่วนล่างหรือต้นขา
- ส่วนใหญ่แล้วมีโรคหลายโรคที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าวข้างต้น โดยที่ไม่ใช่มะเร็ง เช่น ต่อมลูกหมากโต  ต่อมลูกหมากอักเสบ หรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ ผู้ป่วยชายคนใดที่มีอาการดังกล่าว ควรบอกแพทย์เพื่อทำการสืบหาโรคต่อไป


2.            ความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากมีอะไรบ้าง?
ในปัจจุบันไม่มีใครรู้ว่ามะเร็งต่อมลูกหมากเกิดจากอะไร เรายังไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมบางคนถึงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ในขณะที่อีกคนไม่เป็น
 มีการศึกษาพบว่ามีองค์ประกอบบางอย่างที่มีผลต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก
                 1. อายุ :เราพบโรคนี้ในคนสูงอายุส่วนใหญ่มากกว่า 65 ปี ในอายุต่ำกว่า 45 ปี เราพบจำนวนผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยมาก
  2. ประวัติครอบครัว : ถ้ามีพ่อ, พี่ชาย หรือน้องชาย เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก จะทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมากขึ้น
  3. เชื้อชาติ : มะเร็งต่อมลูกหมากพบมากในคนแอฟริกันมากกว่าคนผิวขาว แต่จะพบได้น้อยในคนเอเชีย
  4. มีเซลล์ที่เปลี่ยนแปลงในต่อมลูกหมาก : ถ้าเนื้อเยื่อในต่อมลูกหมากมีลักษณะ high-grade prostatic ntraepithelial neoplasia (PIN) พบว่าอาจทำให้พบมะเร็งต่อมลูกหมากสูงขึ้น
  5. อาหาร : มีการศึกษารายงานออกมาว่าการกินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์มาก มีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมากกว่าพวกกินอาหารจำพวกพืชผัก

3.              ถ้าไม่มีอาการ ควรเริ่มตรวจทางทวารหนัก และตรวจค่า PSA ตั้งแต่อายุเท่าไหร่?
บางครั้งโรคมะเร็งต่อมลูกหมากไม่มีอาการ ดังนั้นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากไม่มีอาการ ดังนั้นการสืบค้นโรคนี้มีความจำเป็นโดยเฉพาะในผู้ป่วยมีประวัติมะเร็งต่อมลูกหมากในเครือญาติหรือในผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป

4.              ค่า PSA สูงจากภาวะใดได้บ้าง?
ปัจจุบันเรามี การเจาะเลือดดูค่า PSA เพื่อช่วยในการคัดกรองคนไข้ที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ทำให้เราพบคนไข้ที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรกมากขึ้น ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยทั่วไป ค่า PSA ที่สูงนอกจากจะเกิดจากมะเร็งต่อมลูกหมากแล้วยังเกิดได้อีกหลายสาเหตุเช่น โรคต่อมลูกหมากโต โรคต่อมลูกหมากอักเสบ การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ การใส่สายสวนปัสสาวะ โดยทั่วไปถ้าค่า PSA สูงเกิน 10 ng/dl โอกาสตรวจพบมะเร็งต่อมลูกหมากมากกว่า 50 % ค่า PSA 4-10 ng /dl โอกาสพบ มะเร็งต่อมลูกหมาก ได้ 20- 30% โดยทั่วไปสำหรับในคนไทยทางแพทย์จะใช้ ค่ามากกว่า 4 ng/ml


5.              เป็นต่อมลูกหมากโตแล้วจะกลายเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากหรือไม่?
   โดยทั่วไปแล้วโรคต่อมลูกหมากโตและมะเร็งต่อมลูกหมากมักเกิดในผู้ชายสูงอายุ และอาการของโรคทั้ง 2 กลุ่มนี้คล้ายกันมากทำให้การตรวจค้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็ตามโรคทั้ง 2 กลุ่มนี้เป็นคนละชนิดกัน และไม่มีการเปลี่ยนสภาพจากต่อมลูกหมากโตไปเป็นมะเร็งได้ แต่เราอาจพบร่วมกันได้ครับ

6.              เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากแล้วสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?
                 โรคมะเร็งหลายชนิดถ้าพบในระยะเริ่มแรกและสามารถหายขาดได้ในโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็เป็นเช่นเดียวกันโดยเฉพาะในระยะ1 และ ระยะ 2

7.              มะเร็งต่อมลูกหมากมีวิธีการรักษาอย่างไร?
                 การรักษาสามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มคือ
1. การผ่าตัด
2. การฉายรังสี
3. การใช้ฮอร์โมน
4. ติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิด
             7.1  การผ่าตัดรักษา
-  การผ่าตัดต่อมลูกหมากโดยเอาต่อมลูกหมากออก ซึ่งใช้ในผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะแรก (ระยะ1 และ2)
        1.1 การผ่าตัดต่อมลูกหมากโดยการเปิดผ่านหน้าท้อง
1.2      การผ่าตัดต่อมลูกหมากโดยการเปิดผ่านบริเวณฝีเย็บ
1.3      การผ่าตัดต่อมลูกหมากโดยการส่องกล้องผ่านผนังหน้าท้อง
1.4      การผ่าตัดต่อมลูกหมากโดยการส่องกล้องผ่านผนังหน้าท้องโดยการใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด

                  ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัด
                  - ผู้ป่วยอาจมีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ
           - ผู้ป่วยอาจมีการปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะราด ในระยะแรกประมาณ 1 ถึง 2 เดือนหลังการผ่าตัด ต่อมาอาการจะค่อยๆ หายไป
                  - อาจมีการปัสสาวะไม่ออก ถ้ามีการตีบ แคบของท่อปัสสาวะ
                  7.2 การฉายรังสี
                การฉายรังสีมีการใช้ในรายมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะแรก แทนการใช้ผ่าตัดในรายที่ผู้ป่วยปฏิเสธการผ่าตัด แต่เรามักนิยมใช้การฉายรังสีในรายที่มีมะเร็งต่อมลูกหมากหลงเหลือจากการผ่าตัด หรือใช้ในรายยะยะท้ายๆ ของโรค เพื่อช่วยลดอาการปวด
                มีการฉายแสง 2 วิธีที่ใช้ในมะเร็งต่อมลูกหมาก
                1. การฉายรังสีจากภายนอกร่างกาย โดยผู้ป่วยจะได้รับรังสีจากเครื่องกำเนิดรังสีภายนอกร่างกายไปที่    ต่อมลูกหมาก
                2. การฝังแร่รังสีเข้าไปในเนื้อต่อมลูกหมาก โดยการใช้แร่รังสีซึ่งเป็นเม็ดเล็กปริมาณหลายเม็ดขึ้นกับขนาด
 ของต่อมลูกหมากฝังเข้าไปในเนื้อต่อมลูกหมาก


                ผลข้างเคียงจากการฉายรังสี
                - ผลข้างเคียงของการฉายรังสีขึ้นอยู่กับปริมาณของรังสีที่ได้รับ ท่านจะรู้สึกเพลียหลังการฉายแสง ซึ่งท่านควรจะพักผ่อนมากๆ
                - การฉายรังสีจากภายนอก ท่านอาจจะมีอาการท้องเสีย และมีปัสสาวะบ่อยและแสบขัด ผิวหนังของท่านอาจจะมีอาการเจ็บปวด และแดงขึ้น อาจจะมีขนร่วงเฉพาะที่ได้
                - การรักษาโดยการฝังแร่รังสี อาจจะทำให้มีปัสสาวะเล็ด และมีเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ แต่พบได้ไม่บ่อยนัก

                7.3 การรักษาด้วยฮอร์โมน
                การใช้ฮอร์โมนในผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมาก มักจะใช้เป็นการรักษาเพิ่มเติมหลังการผ่าตัด หรือในรายที่มะเร็งต่อมลูกหมากระยะแพร่กระจาย
                หลักการใช้ฮอร์โมนในการรักษาคือการลดหรือกำจัดฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งจะไปทำให้มะเร็งต่อมลูกหมากฝ่อเล็กลง หรือโตช้าลง การกำจัดฮอร์โมนมี 2 วิธีคือ
                1. การใช้ยาต้านฮอร์โมน : โดยมียาต้านทำให้อัณฑะไม่สามารถสร้างฮอร์โมนเพศชาย และยาต้านการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศชาย
                2. การผ่าตัดเอาอัณฑะออก   ซึ่งอัณฑะเป็นแหล่งใหญ่ในการสร้างฮอร์โมนเพศชาย โดยมีบางส่วนซึ่งเป็นส่วนน้อยมาจากต่อมหมวกไต
                - แพทย์ใช้การรักษาด้วยการลดปริมาณฮอร์โมนเพศชายในกระแสเลือดเพื่อควบคุมและลดการกระจายของมะเร็งต่อมลูกหมากไปยังอวัยวะต่างๆ มะเร็งต่อมลูกหมากส่วนใหญ่จะไม่โตขึ้นเป็นระยะเวลาหลายปี
                - ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นคือ มีการคลื่นไส้อาเจียน มีเต้านมที่โตขึ้น มีความต้องการทางเพศน้อยลง และอาจมีอันตรายต่อตับได้ แต่พบได้ไม่บ่อยนัก และในบางครั้งอาจทำให้กระดูกมีความแข็งแรงน้อยลง

                 7.4 การเฝ้าดูโรคอย่างใกล้ชิด
-                   การที่แพทย์ตัดสินใจเลือกวิธีนี้ เพราะโดยธรรมชาติของโรคนี้ การขยายตัวของมะเร็งจะช้า โดยถ้าเจอมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะแรกต้องใช้เวลาเกือบ 10 ปี มะเร็งถึงอาจจะลุกลามทำอันตรายต่อผู้ป่วยได้ ทำให้แพทย์เจ้าของไข้ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างจะใช้การผ่าตัดรักษาในผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรก ในผู้ป่วยอายุมากๆ หรือมีโรคประจำตัวที่รุนแรงและเสี่ยงต่อการผ่าตัดหรือดมยาสลบ


8.      การผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากแบบส่องกล้องมีข้อดีกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิมอย่างไร?
                        ในปัจจุบันการผ่าตัดต่อมลูกหมากด้วยการส่องกล้องผ่านผนังหน้าท้อง เป็นไปอย่างแพร่หลาย ซึ่งอาจมาแทนที่ด้วยการผ่าตัดแบบแผลเปิด ซึ่งเราพบว่ามีข้อดีหลายอย่าง เช่น การเสียเลือด การเจ็บปวด น้อยกว่า และด้านแผลก็มีขนาดเล็กกว่า นอกจากนี้ผลจากการผ่าตัดผ่านกล้อง การเก็บเส้นประสาท Cavernous ตลอดจน กล้ามเนื้อหูรูดมีการบาดเจ็บน้อยกว่า


9.การผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมากโดยใช้หุ่นยนต์คืออะไร
                        การผ่าตัดรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก โดยการใช้กล้องเจาะผ่านหน้าท้อง ซึ่งทำกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นวิธีมาตรฐาน ต่อมามีการใช้หุ่นยนต์มาช่วยผ่าตัด โดยใช้หุ่นยนต์ถือกล้อง และมีแขนกลของหุ่นยนต์ช่วยในการผ่าตัด ทำให้แทนที่จะใช้มนุษย์ (แพทย์ผู้ช่วย) ถือกล้องทำให้การผ่าตัดเป็นไปได้ง่ายกว่าโดยที่แพทย์เหนื่อยน้อยลง และใช้เวลาในการผ่าตัดน้อยลง แต่ผลทั่วไปหลังจากการผ่าตัดด้วยกล้องเจาะผ่านหน้าท้องและผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ช่วย ยังไม่แตกต่างกันด้านการควบคุมมะเร็ง และนอกจากนี้การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามไปด้วย

10.มะเร็งต่อมลูกหมากมีวิธีป้องกันหรือไม่?
อาการต่อมลูกหมากโตสามารถป้องกันได้  ถ้ารับประทานอาหารที่มีสารเหล่านี้แต่เนิ่น ๆ เป็นประจำ
       -  สังกะสี เป็นแร่ธาตุที่ช่วยสร้างฮอร์โมนเพศชาย มีมากในเมล็ดฟักทอง อาหารทะเล เช่น หอยนางรม
       -  ไลโคพีน เป็นสารในตระกูลแคโรทีนอยด์ มีมากในมะเขือเทศ ซอสมะเขือเทศ ฝรั่งขี้นก
       - เบต้าซิโตสเตอรอล มีสรรพคุณช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด และป้องกันต่อมลูกหมากโต พบมากในถั่วเหลือง จมูกข้าวสาลี น้ำมันข้าวโพด
       - วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีมากในรำละเอียด น้ำมันรำ ธัญพืช ถั่วเหลือง ถั่วแดง ผักกาดหอม เมล็ดทานตะวัน งา น้ำมันถั่วลิสง แต่มะเร็งต่อมลูกหมาก เรายังไม่พบการวิจัยที่แน่นอนเกี่ยวกับการป้องกันการเกิดโรค แต่เราพบว่าการเกิดมะเร็งมักพบในกลุ่มคนที่มักบริโภคอาหารพวกเนื้อสัตว์มากกว่าพวกมังสวิรัติ
 เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย


โดยรองศาสตราจารย์นายแพทย์วิสูตร  คงเจริญสมบัติ
สาขาวิชาศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์
คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี


แด๊กซิน กาแฟดำ

แด๊กซิน กาแฟดำ

กาแฟที่ดีนั้น ต้องประกอบด้วย
#กลิ่นหอม ทั้งก่อนชง และหลังชง (เมื่อสัมผัสน้ำร้อน)
ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน หรือกลิ่นอื่น ๆ ที่ไม่พึงประสงค์
มีรสชาติที่ซับซ้อนดื่มได้ง่าย ไม่ขมติดลิ้น
#รสเปรี้ยว  รสเปรี้ยวแสดงถึง ความเป็นกรด ในกาแฟ แต่ความเปรี้ยวที่เกิดขึ้นต้องไม่ใช้ความเปรี้ยวฝาด หรือเปรี้ยวแบบกาแฟสำเร็จรูปบางยี่ห้อที่คนไทยคุ้นเคย
ความเปรี้ยวในกาแฟที่ดี ควรเป็นความเปรี้ยวที่ #ชุ่มฉ่ำ แสดงถึงความเป็นผลไม้ของกาแฟ ความเปรี้ยวจะปรากฎชัดในกาแฟที่คั่วระดับอ่อน ถึงระดับกลาง ในกาแฟคั่วเข้มนั้นจะทำให้ความเปรี้ยวลดลง
ความเปรี้ยวที่ให้ความสดชื่นชุ่มฉ่ำ เป็นรสชาติหนึ่งที่พึงประสงค์ของกาแฟที่ดี เมื่อลองสัมผัสกาแฟดีๆ ที่คั่วไม่เข้มมาก แล้วลองจับรสเปรี้ยวในกาแฟดูให้เจอนะครับ ว่าอร่อยอย่างไร
#เนื้อกาแฟ ความหนักแน่นของน้ำกาแฟ หากใครได้เคยดื่มนมพร่องมันเนย เทียบกับนมพาสเจอร์ไรส์ทั่วไป คงจะสัมผัสได้ถึงความหนักแน่นที่แตกต่างของนมทั้งสองแบบ กาแฟก็เช่นกัน กาแฟที่มีบอดี้ดีเมื่อนำไปผสมชงในรูปแบบต่างๆ จะให้กลิ่นรสที่สู้นมได้ดี
#เมื่อลื้มลองแล้ว รสที่ยังคงรับรู้ได้หลังจากกลืนผ่านลงไปแล้ว กาแฟที่มีอาฟเตอร์เทสต์ดี ๆ ช่วยให้การดื่มกาแฟมีความเพลิดเพลินมากขึ้น จากการดื่มกาแฟธรรมดา จะกลายเป็นความดื่มด่ำกับกลิ่นรสกาแฟอย่างเต็มปากเต็มคำ
#ความกลมกลืน และทั้งหมดนี้ทุกอย่างจะต้องลงตัวกลายเป็นความกลมกลืน และกลมกล่อม

กาแฟดีต้องดีทั้งกระบวนการ
ตั้งแต่การเลือกสายพันธุ์ การเพาะปลูก และภูมิประเทศ การเก็บเกี่ยว กระบวนการแปรรูป การจัดเก็บ
การนำมาคั่วในรูปแบบ และระดับที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเมล็ดกาแฟแต่ละแบบ และรูปแบบการชงแต่ละชนิด

วัณโรคกระดูก ปวดหลังเรื้อรัง นี่ล่ะสัญญาณอันตราย !


          วัณโรคกระดูก ชื่อนี้ฟังแล้วออกจะงง ๆ เพราะเคยได้ยินแต่ วัณโรคปอด ใช่ไหมคะ แต่ วัณโรคกระดูก หรือ วัณโรคกระดูกสันหลัง ก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อยในคนไทย ถึงเวลาที่เราต้องมารู้จักกับ โรควัณโรคกระดูก กันแล้วล่ะ ขอบอกเลยว่า ถ้าใครกำลังทนทรมานกับอาการปวดหลังที่เรื้อรังอยู่ล่ะก็ บางทีโรคนี้อาจกำลังคุกคามคุณอยู่ก็เป็นได้!!! 

วัณโรคกระดูก เกิดขึ้นได้อย่างไร

          สำหรับโรควัณโรคกระดูกนี้ เกิดจากการที่คนไข้รับเอาเชื้อแบคทีเรีย ไมโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส เข้าไปในปอด เมื่อรับเอาเชื้อเข้าไปแล้ว ปอดก็จะติดเชื้อ ทำให้เกิดเป็นวัณโรคปอด แต่ในผู้ป่วยราว 15% เชื้อดังกล่าวจะแทรกซึมผ่านกระแสเลือด แล้วลุกลามเข้าไปทำอันตรายอวัยวะส่วนอื่น ๆ ด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลือง สมอง ไต รวมทั้งกระดูก

          ทั้งนี้ หากเชื้อเข้าไปทำลายกระดูกก็จะเรียกว่า "วัณโรคกระดูก" หรือ "วัณโรคกระดูกสันหลัง" (Tuberculosis of Spine) เพราะส่วนใหญ่เชื้อจะไปอยู่ที่กระดูกสันหลัง ข้อเข่า ข้อต่อ ถ้าเป็นนาน ๆ เข้า เชื้อจะไปทำลายกระดูก ทำให้กระดูกยุบตัว หลังโก่งงอ มีหนองหรือเศษกระดูก หมอนรองกระดูกเลื่อน และเมื่อเข้าสู่ช่องไขสันหลังจะเกิดการกดทับประสาทที่ไขสันหลัง จนทำให้เป็นอัมพาตที่ขาได้  


 วัณโรคกระดูก ติดต่อกันได้หรือไม่ 

          หลายคนคงเกิดคำถามว่า วัณโรคกระดูกสามารถติดต่อกันได้หรือไม่ คำตอบคือ โรคนี้สามารถถ่ายทอดไปยังผู้อื่นได้ เพราะเริ่มต้นจากการมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเชื้อโรคนั้นเข้าสู่ร่างกายด้วยการสูดเอาละอองเสมหะของผู้ป่วยวัณโรคที่ไอ จาม หรือหายใจรดเข้าไป หรืออาจติดต่อได้จากหนองของผู้ป่วย รวมทั้งการดื่มนมวัวดิบ ๆ จากวัวที่มีเชื้อวัณโรค หรือจากการทานอาหาร และภาชนะใส่อาหารที่มีเชื้อวัณโรคปนเปื้อน


วัณโรคกระดูกสันหลัง

 ใครคือกลุ่มเสี่ยง

          จริง ๆ แล้ว วัณโรคกระดูก สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ดังนั้น ไม่ว่าจะเด็กเล็ก วัยรุ่น ผู้สูงอายุ ผู้หญิง หรือผู้ชาย ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้เท่า ๆ กัน แต่คนที่มีความเสี่ยงจะติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนทั่วไปก็คือ ผู้ที่มีร่างกายไม่แข็งแรง มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหารที่ร่างกายต้องการ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ถูกสุขอนามัย หรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มาก ๆ รวมทั้งผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์ ก็จะติดเชื้อได้ง่ายกว่าบุคคลทั่วไป

 อาการวัณโรคกระดูกที่สังเกตได้

          เมื่อเชื้อวัณโรคลุกลามไปตามข้อต่อและกระดูก ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเมื่อยตามตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่อาการจะเริ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนกระทั่งผ่านไป 1 เดือน อาการปวดจะเด่นชัดขึ้น อาจมีอาการไข้ต่ำ ๆ ตอนเย็น ๆ ร่วมด้วย บวกกับเบื่ออาหาร น้ำหนักลด แต่ผู้ป่วยอาจคิดไปว่าเป็นอาการปวดหลังธรรมดา หากปล่อยไว้นาน จะทำให้กระดูกสันหลังโก่งงอ เพราะเชื้อไปทำลายกระดูก และถ้าหากเชื้อไปกดทับระบบประสาทในที่สุดก็จะทำให้ขาชา อุจจาระ ปัสสาวะลำบาก บางคนต่อมน้ำเหลืองโต เดินกะเผลก

          ทั้งนี้ มีข้อมูลระบุว่า วัณโรคกระดูกส่วนใหญ่จะเกิดกับกระดูกสันหลังส่วนเอว ราว ๆ 30-50% ซึ่งหากเชื้อวัณโรคเข้าไปยังกระดูกสันหลังส่วนเอว จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดหลังมาก ๆ จนไม่สามารถยืนตรงได้เลย

จะวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรคกระดูกได้อย่างไร

          ผู้ป่วยหลายคนเห็นว่าปวดหลังเป็นอาการธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป จึงไม่ได้เอะใจมาพบแพทย์ กว่าจะมาพบแพทย์ก็ต้องรอให้ปวดหลังมาก ๆ จนร่างกายทนไม่ไหว หรือแขนขาชาอ่อนแรงไปแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องยากเหมือนกันที่จะบอกว่าตัวเองเป็นโรคนี้หรือไม่ เพราะอาการปวดหลังก็บ่งบอกได้ถึงหลายโรค ดังนั้นแล้ว หากมีอาการบ่งชี้ดังที่กล่าวมาข้างต้นร่วมกับอาการปวดหลังที่กินยาแล้ว 2-3 วัน หรือ 1 สัปดาห์แล้ว ก็ยังไม่หาย ก็ควรจะมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโดยเร็ว โดยแพทย์จะวินิจฉัยจาก

            การตรวจทางรังสี เพื่อดูว่ากระดูกสันหลังถูกทำลายหรือไม่ มีการโก่งตัวหรือไม่ รวมทั้งหมอนรองกระดูกแคบลงหรือไม่ เพราะนี่เป็นสัญญาณว่า เชื้อวัณโรคกำลังทำลายกระดูกสันหลัง

            การตรวจด้วยซีทีสแกน หรือ เอ็มอาร์ไอ เพื่อดูว่ามีหนอง และการทำลายกระดูกสันหลังหรือไม่ รวมทั้งไขสันหลัง และเส้นประสาท ถูกกดทับด้วยหรือไม่



 การรักษาวัณโรคกระดูก มีกี่วิธี

          จุดมุ่งหมายในการรักษาวัณโรคกระดูกก็เพื่อกำจัดเชื้อวัณโรค ป้องกันไม่ให้มีการกดทับระบบประสาท รวมทั้งป้องกันไม่ให้กระดูกสันหลังผิดรูปด้วย ซึ่งในปัจจุบัน วัณโรคกระดูกสามารถรักษาได้ทั้งวิธีการผ่าตัด และไม่ผ่าตัด ซึ่งแพทย์จะใช้วิธีการรักษาแบบไม่ผ่าตัดก่อน ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไม่มาก หากได้รับยารักษาวัณโรค ซึ่งต้องกินยาติดต่อกันประมาณ 1 ปี รวมทั้งได้พักฟื้น และใส่อุปกรณ์ประคองหลัง ก็สามารถกลับมาเป็นเหมือนปกติได้ แต่ที่สำคัญก็คือ ผู้ป่วยต้องไม่หยุดการรับประทานยาต่อเนื่องก่อนแพทย์สั่ง เพราะอาจทำให้เชื้อวัณโรคดื้อยา และทำให้การรักษายุ่งยากขึ้นในอนาคตได้

          อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นมากแล้ว รักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือกลับมาเป็นซ้ำอีกจนมีอาการแขนขาอ่อนแรง หรือเป็นอัมพาตจากการไปกดทับไขสันหลัง รวมทั้งกระดูกผิดรูปไปมาก มีหนองเกิดขึ้นจากการติดเชื้อในบริเวณที่เป็นอันตรายต่อเส้นประสาท แพทย์จะใช้วิธีการผ่าตัดรักษาเพื่อระบายเอาหนองออก หรือผ่าตัดเพื่อเอากระดูกที่ติดเชื้อออกแล้วเชื่อมกระดูกสันหลังใหม่ รวมทั้งการผ่าตัดใส่เหล็กดามกระดูกสันหลัง

 ดูแลตัวเอง ป้องกันโรควัณโรคกระดูก

          ง่าย ๆ เลยก็คือ รักษาสุขภาพให้แข็งแรงเสมอ ควรออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง พยายามอยู่ในที่ปลอดโปร่งหายใจสะดวก เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าหรือกระดาษปิดปาก เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจาย และทิ้งกระดาษลงในถังขยะที่มีฝาปิดให้เรียบร้อย

          ที่สำคัญมากอีกข้อก็คือ หากในบ้านมีสมาชิกป่วยเป็นวัณโรค ไม่ว่าจะวัณโรคอะไร หรือมีผู้ที่ต้องใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค ก็ควรไปตรวจสุขภาพเป็นระยะ ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากผู้ป่วยด้วย 

          ได้รู้จักโรควัณโรคกระดูกไปแล้ว ต่อไปนี้ ถ้าเกิดใครมีอาการปวดหลังเรื้อรัง กินยาหลายเม็ดแล้วก็ยังไม่หายสักที แล้วยังมีประวัติเข้าใกล้ผู้ป่วยวัณโรคด้วยล่ะก็ ลองไปให้คุณหมอตรวจดูหน่อยก็ดีนะคะ เพราะยิ่งรู้ตัวเร็ว การรักษาก็ไม่ยุ่งยาก แถมยังมีโอกาสหายขาดจากโรคอันแสนทรมานนี้ได้มากขึ้นด้วยล่ะ


 เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
thaispineclinic.com
thaispine.com 
healthcorners.com 

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559

"โรคไต” ป้องกันได้

โรคไต” ป้องกันได้ 
ผศ.นพ. เถลิงศักดิ์ กาญจนบุษย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคไต

      
หลายคนคงคิดนะครับว่าชีวิตนี้มีกรรมที่ต้องคอยไปฟอกไต ล้างไต หรือขนาดต้องเปลี่ยนไต เพราะเมื่อไตสูญเสียประสิทธิภาพการ
ทำงานไป เราก็จำเป็นต้องหาวิธีอื่นๆ มาพยุงไตให้สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้ เพื่อต่อชีวิตของเจ้าของไตนั้น

“ไต” มีหน้าที่อะไร
 
     ก่อนที่จะรู้จักโรคไตเราควรที่จะทำความรู้จักกับอวัยวะที่มีชื่อว่า “ไต หรือ kidney” กันก่อนครับ
ไตเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกายมนุษย์ที่มีความมหัศจรรย์และมีจำเป็นอย่างมากในการดำรงชีวิต คนปกติมีไต 2 ข้างวางอยู่บริเวณกลางหลังข้างละ 1 อัน ไตทำหน้าที่กลั่นกรองน้ำ เกลือแร่ และสารเคมีส่วนเกินที่ร่างกายไม่ต้องการ พร้อมกับทำการคัดหลั่งของเสียออกจากร่างกาย
ในรูปของน้ำปัสสาวะผ่านกรวยไตลงไปเก็บกักในกระเพาะปัสสาวะเพื่อให้พร้อมในการกำจัดทิ้งออกทางท่อปัสสาวะ

      นอกจากนี้ไตยังทำหน้าที่ปรับสมดุลของสารน้ำ เกลือแร่ในร่างกายและทำการสร้างสารและฮอร์โมนอีกหลากหลายชนิด ได้แก่ วิตามินดี ฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด และฮอร์โมนควบคุมความดันโลหิต เมื่อความบกพร่องเกิดขึ้นกับไตจนไตไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์ ในระยะแรกอาจพบความผิดปกติเพียงเล็กน้อย ไม่รุนแรง เช่นตรวจพบเพียงโปรตีนไข่ขาวรั่วในปัสสาวะจากการตรวจสุขภาพประจำปีโดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ แต่หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการรักษาจนไตเสื่อมหน้าที่มากขึ้น จะเกิดภาวะที่เรียกว่า “ภาวะไตวายเรื้อรัง”

เมื่อไต เสียหน้าที่ 
     ภาวะไตวายเรื้อรังในระยะนี้ยังสามารถแก้ไขให้ไตกลับคืนหน้าที่ได้หากได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ต่อเนื่องและเหมาะสม แต่หากปล่อยปละละเลยจนไตเสื่อมทุกหน้าที่อย่างสมบูรณ์ และถาวร จนเกิดภาวะที่เรียกว่า “ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย” 
หนทางเดียวที่แพทย์จะสามารถรักษาชีวิตให้ได้ก็คือการบำบัด
ทดแทนไต เช่น การฟอกเลือด การฟอกไตทางช่องท้อง และการปลูกถ่ายไตใหม่ให้ แม้ว่าจะได้รับการปลูกถ่ายไตใหม่ ก็ใช่ว่าไตนั้นจะใช้งานได้เหมือนอย่างไตของคนปกติ เพราะไม่ใช่ไตที่ติดตัวเรามาแต่กำเนิด ร่างกายต้องปรับตัวเข้ากับไตใหม่ ไตใหม่ที่ปลูกถ่ายมานี้ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานเฉลี่ยไม่เกินสิบปี และเมื่อการเปลี่ยนไตสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายไตจะต้อง
หลีกเหลี่ยงและระวังกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากไตใหม่ที่ปลูกถ่ายใหม่นั้นถือเป็นสิ่งแปลกปลอมของร่างกายที่กระตุ้นให้ภูมิต้านทานของร่างกายออกมาทำหน้าที่ต่อต้าน จึงจำเป็นต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายไตจึงเสี่ยงต่อการเชื้อต่างๆ จากภายนอกได้ง่าย เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะดังกล่าวเข้ามาเยือนตัวคุณ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสนใจป้องกันตนเอง หมั่นตรวจสอบตัวคุณอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความสะอาดของทั้งเครื่องใช้ อาหาร และการสัมผัสกับแหล่งเชื้อโรคในที่ต่างๆ เช่น ควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด เป็นต้น
สัญญาณเตือนภัย “ไตผิดปกติ”
     ทางการแพทย์สามารถแบ่งความผิดปกติของไตได้เป็น 8 ประเภท ได้แก่ โรคเส้นเลือดฝอยที่ไตอักเสบ โรคเนื้อเยื่อไตอักเสบ โรคไตวายเฉียบพลัน โรคไตวายเรื้อรัง โรคติดเชื้อของไตและท่อทางเดินปัสสาวะ โรคความผิดปกติของท่อไตและถุงน้ำ โรคนิ่ว และโรคมะเร็ง
ในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งแต่ละประเภทมีต้นเหตุก่อโรคมากมาย และมีอาการทางคลินิกแตกต่างกันหลากหลายครับ เช่น ในระยะแรกของผู้ที่มีไตวายเรื้อรัง อาจมีอาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ คันตามตัว ต่อมาอาจพบอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ตุ่มรับรสของลิ้นทำงานเปลี่ยนไป น้ำหนักตัวลด ชาปลายมือปลายเท้า ขี้หนาว ปวดแสบปวดร้อนบริเวณเท้า ปวดศีรษะ เป็นต้น อาการเหล่านี้ไม่ใช่อาการเฉพาะของโรคไตอย่างเดียวแต่พบได้ในอีกหลายโรค

ดังนั้นเราสามารถสังเกตความผิดปกติของไตตนเองได้โดยสังเกตสัญญาณเตือนภัย 6 ประการดังนี้คือ
     1. การเปลี่ยนแปลงของการขับถ่ายปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ปัสสาวะออกน้อยลง เป็นต้น
     2. มีอาการแสบร้อนเวลาถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะขัด สะดุดหรือมีเศษนิ่วปนออกมา
     3. ปัสสาวะมีเลือดปน ปัสสาวะมีสีน้ำล้างเนื้อหรือปัสสาวะเป็นฟอง
     4. การบวมของใบหน้า ลำตัว ขา และเท้า
     5. อาการปวดบั้นเอวหรือบริเวณสีข้าง (ไม่ต่ำกว่าเอวหรือไม่อยู่กลางหลัง)
     6. ตรวจพบความดันโลหิตสูง

     หากพบสัญญาณเตือนภัยข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อ ขอแนะนำให้คุณรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนานจนสายเกินแก้ คุณที่รู้สึกว่าตนเองสุขภาพดีมาก ไม่เคยเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล บางคนเคยเป็นนักกีฬา ความแข็งแรงเหล่านี้ไม่ได้รับประกันว่าคุณจะไม่มีโอกาสเป็นโรคไต แม้จะไม่มีสัญญาณเตือนภัย ก็อาจจะมีโรคไตซ่อนเร้นในตัวแล้วก็เป็นได้ ทางที่ดีควรพิจารณา “เคล็ดลับ 10 ประการป้องกันการเกิดโรคไต” โดยเฉพาะคุณมีโรคประจำตัวบางอย่างที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไต เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเก๊าต์ (gout) โรคปวดเส้นหรือปวดกล้ามเนื้อที่ต้องรับประทานยาแก้ปวดเป็นประจำ เป็นต้น ยิ่งต้องปฏิบัติตามเคล็ดลับ 10 ประการอย่างเคร่งครัดนี้เลยครับ 
      1. หมั่นสนใจสุขภาพของตนเองและไปรับการตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี ซึ่งการตรวจสุขภาพนั้นมักรวมเอาการตรวจสุขภาพไตขั้นพื้นฐาน 3 ประการไว้ด้วย ได้แก่ การวัดความดันโลหิต การตรวจปัสสาวะ และการตรวจเลือดหาระดับของเสียในร่างกาย
(ครีอะตินีน) ซึ่งทั้งสามอย่างนี้บอกได้ขั้นต้นว่าคุณมีโรคไตซ่อนอยู่หรือไม่ สำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจชุดนี้ (ราคาปีพ.ศ. 2548) ใน
โรงพยาบาลของรัฐจะอยู่ที่ประมาณ 150 บาท และในโรงพยาบาลเอกชนหรือคลินิกจะประมาณ 300 บาท

      2. เลือกอาหารที่มีคุณค่า สุกสะอาด และมีประโยชน์ หลีกเหลี่ยงการกินอาหารไขมันสูง ไม่กินโปรตีนมากจนเกินไปเพราะจะทำให้ไตเสื่อม และไม่กินอาหารน้อยไปจนเกิดภาวะขาดสารอาหาร หลีกเหลี่ยงอาหารหมักดอง อาหารกระป๋อง และอาหารรสจัด การกินเค็มมากไปจะทำให้เกิดอาการบวม หัวใจวาย ความดันโลหิตสูง และไตต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อกำจัดเกลือส่วนเกินออก กินผักและผลไม้ให้มากยกเว้นหมอสั่งห้าม ลดปริมาณอาหารมื้อเย็น โดยเฉพาะมื้อดึก ให้ความสำคัญกับอาหารมื้อแรกของวัน ในกรณีที่มีภาวะไตวายเรื้อรังควรถามหมอว่าคุณเป็นโรคไตเรื้อรังระดับใด กินอะไรได้บ้าง มากน้อยเพียงใด

     3. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร หรือ 6-8 ถ้วยต่อวัน การดื่มน้อยไปจะทำให้ไตเสื่อม มากไปจะทำให้หัวใจวาย ควรเลือกเดินทางสายกลาง

     4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเลือกออกกำลังกายอย่างเหมาะสมซึ่งสามารถกระทำได้ทั้งในคนปกติและผู้ที่เป็นโรคไต ได้แก่ การเดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิค หรือการออกกำลังกายอื่นๆ ที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างต่อเนื่อง หากเลือกยกน้ำหนักไม่ควรยกน้ำหนักที่มากเกินไป นอกจากการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายสมบูรณ์และแข็งแรงแล้ว การออกกำลังกายจะสามารถลดระดับความดันโลหิตลงได้ ลดไขมันส่วนเกิน ทำให้นอนหลับง่ายขึ้นและช่วยควบคุมน้ำหนักตัว การออกกำลังกายที่ดีควรจะต้องทำการอบอุ่นร่างกายหรือเรียกว่า “วอร์มอัพ” ก่อนประมาณ 5-10 นาที ต่อด้วยการยืดกล้ามเนื้อ (stretching exercise) เป็นเวลา 5 นาที ตามด้วยการออกกำลังอย่าง
ต่อเนื่องข้างต้นอีก 5-30 นาที และจบด้วยการทำ breathing exercise และการทำ cool down อีก 5-10 นาที
แต่ละคนจะออกกำลังกายได้หนักเพียงใดเป็นเรื่องที่คาดคะเนได้ยาก โดยทั่วไปให้พิจารณาเริ่มต้นและจบลงทีละน้อยเพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ ไม่ควรออกกำลังกายหักโหมจนไม่สามารถพูดได้เป็นคำๆ หรือไม่หายจากอาการเหนื่อยนานเกินกว่า 1 ชั่วโมงหลังพัก ไม่ควรออกกำลังกายเมื่อร่างกายไม่พร้อม เช่น มีไข้ หลังรับกินอาหารอิ่มใหม่ๆ เพิ่งเปลี่ยนยาที่กิน หลังผ่านการฟอกเลือดมาใหม่ๆ หรือรู้สึกว่าร่างกาย
ไม่แข็งแรงพอ

      5. พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน การนอนพักผ่อนที่ไม่เพียงพอจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นซึ่งมีผลกระทบทางอ้อมต่อไตทำให้ไตเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น

      6. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ผู้ที่อ้วนเกินไปจะทำให้ไตทำงานหนัก ทำให้ไตเสื่อมหน้าที่เร็วขึ้น เพราะภาวะอ้วนจะทำให้โปรตีนรั่วในปัสสาวะเพิ่มขึ้นจากการกดทับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไตทำให้ความดันภายในไตสูงขึ้น โปรตีนที่รั่วนี้จะเป็นตัวทำลายไต การเปลี่ยนแปลงนี้จะดีขึ้นถ้าน้ำหนักตัวลดลง จึงควรควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน

      7. หลีกเหลี่ยงสารเสพติด รวมถึงบุหรี่และแอลกอฮอล์ นอกจากสารเสพติดจะทำลายสุขภาพโดยรวมแล้วยังทำลายไตโดยตรง การดื่มแอลกอฮอล์จะมีผลเสียต่อทั้งตับและไต โดยเฉพาะคนที่ป่วยโรคไตควรเลิกดื่มจะดีที่สุด นอกจากการสูบบุหรี่จะทำให้ร่างกายได้รับสารพิษมากกว่า 50 ชนิดแล้วยังพบว่าไตของผู้ที่สูบจะเสื่อมหน้าที่เร็วขึ้น 1.2 เท่า ผลกระทบดังกล่าวยังเกิดขึ้นได้กับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่แต่ไปอยู่ใกล้ผู้ที่สูบบุหรี่

      8. หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานๆ บ่อยครั้งที่คนเราต้องกลั้นปัสสาวะนานๆ เช่น การที่ต้องค้างเติ่งบนรถที่ติดกันเป็นแพ หรือเดินทางในรถโดยสารทางไกล แน่นอนครับถ้าจำเป็นจริงๆ คงจะหลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะไม่ได้ แต่พบว่าในบางคนที่ชอบกลั้นปัสสาวะ ทั้งๆ ที่สามารถไปห้องน้ำได้ ที่พบบ่อยในปัจจุบัน ได้แก่ เด็กวัยรุ่นที่เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ พบว่าการกลั้นปัสสาวะนานๆ เป็นต้นเหตุให้เชื้อโรคแทรกซึมเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะและเกิดการอักเสบของท่อทางเดินปัสสาวะ ในบางรายทำให้เกิดโรคไตอักเสบเฉียบพลันได้

      9. หลีกเลี่ยงกลุ่มยาที่อาจมีผลต่อไต เช่น ยาแก้ปวดข้อ ปวดเส้น ปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งมักจะเป็นยาในกลุ่ม “ยาเอ็นเสด (NSAIDs)” ซึ่งเป็นยาลดการอักเสบที่มีฤทธิ์แรงมาก แม้แต่ยาแก้อักเสบฆ่าเชื้อ ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีหรือมีการแพ้ยา ก็อาจเกิดอันตรายต่อไตได้ เช่น ซัลฟาอาจตกตะกอนในไตทำให้ปัสสาวะไม่ออกได้ ผู้ที่มีการทำงานของไตบกพร่องจะต้องลดขนาดยาแก้อักเสบลง ดังนั้นควรปรึกษาหมอก่อนทุกครั้งที่กินยากลุ่มนี้โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคไต แม้แต่ยาแก้ปวดชนิดที่เป็นแอสไพริน และพาราเซตามอล หากใช้ติดต่อกันเกิน 10 วันอาจทำให้ไตเสื่อมได้ ถ้าจำเป็นต้องกินยากลุ่มนี้นานควรปรึกษาแพทย์โดยเฉพาะผู้ที่มีการทำงานของไตและตับบกพร่อง ขอแนะนำว่าอย่ากินยาใดๆ โดยไม่ปรึกษาหมอก่อนและไม่ควรลองยาแปลกๆ ที่มีผู้อื่นแนะนำ รวมทั้งสมุนไพรต่างๆ ถ้ากินยาแล้วมีอาการเปลี่ยนแปลงให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที อย่ารอให้ยาหรือสารพิษทำลายไตของคุณหมดแล้วจึงค่อยมาพบ ถึงตอนนี้การรักษาใดๆ ก็ไม่สามารถทำให้ไตของคุณฟื้นได้ แต่ต้องรับการฟอกไตทดแทนไปตลอดชีวิต

      10. อย่าหลงเชื่อคำโฆษณา ในท้องตลาดมีการขายสารอาหารต่างๆ มากมายเพื่อบำรุงสุขภาพ อาหารเสริมเหล่านี้ทางองค์การอาหารและยา (อย.) ได้จัดเป็นอาหารไม่ใช่ยา ดังนั้นสามารถหาซื้อได้ทั่วไป และไม่จำเป็นต้องมาพบหมอก่อนซื้อ ในส่วนอาหารเสริมเหล่านี้ อย. ได้รับรองแล้วว่าคุณสามารถซื้อกินได้โดยไม่เกิดโทษ แต่ทางที่ดีก่อนจะซื้อ ควรอ่านฉลากอาหารที่แนบไว้ด้วยว่า อาหารเสริมมีข้อจำกัดหรือข้อควรระวังประการใดบ้าง อาหารเสริมบางอย่างมีเกลือผสมอยู่มาก ทำให้เกิดโทษได้ในผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังและโรคความดันโลหิตสูง นอกจากนี้พบว่าปัจจุบันมีอาหารหรือสารบางอย่างที่โฆษณาขายว่า “สามารถรักษาโรคไตอ่อนแอได้” คำโฆษณาเกินจริงเหล่านี้ ฟังดูน่าสนใจ เชื่อว่าผู้ที่มีโรคภัยไข้เจ็บอยู่แล้วโดยเฉพาะคนที่มีโรคที่หมอบอกว่ารักษาไม่มีทางหาย คงต้องอยากหายแน่นอน จึงอยากพบกับยาวิเศษ แต่คุณทราบไหมครับว่า สารหรืออาหารวิเศษที่ประกาศขายตามหนังสือรายสัปดาห์และหนังสือพิมพ์นั้น ไม่มีใครรับรองสรรพคุณ ถ้าเป็นยาดีจริง ทำไมไม่มีขายในโรงพยาบาล และถ้ายาเหล่านี้ดีจริงทำไมต้องขายทางไปรษณีย์ที่คุณไม่มีทางรู้จักผู้ขายเลย คุณต้องส่งเงินหรือโอนเงินไปให้ ผลจากการหลงเชื่อเหล่านี้ทำให้ผู้ป่วยเกิดโรคไตวายเรื้อรังมาแล้วนับไม่ถ้วนครับ


     โดยสรุปที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเคล็ดลับสำหรับคนที่ไม่อยากเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย หรืออย่างน้อยถ้าทำได้ก็จะช่วยยืดอายุไตของคุณออกไปอีกยาวนาน การดูแลตนเองเป็นหลักสำคัญสำหรับทุกคนครับที่ยังไม่เป็นหรือเป็นโรคไตระยะแรกๆ ซึ่งหมอยังมีบทบาทไม่มากนักในการสั่งจ่ายยา แต่ในระยะแรกๆ นี้ คนทั่วไปมักจะละเลยคิดว่าตนเองยังสบายดีอยู่ แต่เมื่อใดที่โรคไตเป็นมากขึ้นก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมาพบกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในกรณีหลังนี้ หมออยากบอกท่านว่า “ช้าไปแล้ว” อย่างไรก็ตามในทุกระยะของโรคไตเรื้อรัง พบว่าการปฏิบัติตามเคล็ดลับ 10 ประการได้ผลดี
ทั้งสิ้น ไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตามก็จะช่วยยืดอายุการทำงานไตของคุณให้ยาวนานขึ้น


 เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย

     คลิกปรึษาหรือสอบถาม


ขอบคุณผู้ร่วมธุรกิจและที่มาของข้อมูล
http://www.healthtoday.net/thailand/disease/disease_85.html




Daxin 24 Plus Care Roll on

Daxin 24 Plus Care Roll on
ราคาปลีก 139 บาท
ราคาสมาชิก 115 บาท 30 PV.
Daxin 24 Plus Care Roll on แด๊กซิน ทเวนตี้โฟร์ พลัส แคร์ โรลออน
ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติเช่น สารสกัดจากชาเขียว ใบไทม์ ที่มีคุณสมบัติช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ และสารสกัดจากเปลือกมังคุดที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิว สมานผิวให้นุ่มชุ่มชื่น พร้อมกลิ่นหอม สดชื่น ช่วยดูแลพร้อมปกป้องผิวใต้วงแขนให้แห้งสบาย ปกป้องกลิ่นกายได้ยาวนานถึง 24 ชม. และมั่นใจตลอดวันด้วย
7 คุณค่าใน 1 เดียว
*สูตรแห้งเร็ว
*ระงับการเกิดเหงื่อ และกลิ่นกายตลอดทั้งวัน
*รูขุมขนดูเล็กลง
*ผิวเรียบเนียน
*ผิวหมองคล้ำเสียสะสม ดูจางลง
*สีผิวแลดูกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
*เผยผิวแลดูเปล่งปลั่งสดใส มีชีวิตชีวา
Daxin Better Life & Health เพื่อชีวิต และสุขภาพที่ดีของคนไทย
แด๊กซิน...ธุรกิจเครือข่ายขายตรงของคนไทย สร้างรายได้ที่มั่นคงพร้อมกับสุขภาพที่ดีของทุกคน...
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร.091 1971444
www.daxin.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ถั่งเช่า สรรพคุณสุดอัศจรรย์ แก้นกเขาไม่ขัน ขุมพลังแห่งการต้านมะเร็ง

ถั่งเช่า หรือ ตังถั่งเช่า สมุนไพรจีนสรรพคุณล้ำค่า ทั้งบำรุงสุขภาพ แถมรักษาอาการเจ็บป่วยได้เป็นอย่างดี ของดี ๆ ที่คู่ควรกับสุขภาพ


          เคล็ดลับสำคัญที่ทำให้การรักษาแบบแพทย์แผนจีนยังคงได้รับความนิยม ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของสมุนไพร ซึ่งสมุนไพรแต่ละชนิดที่ถูกนำมาใช้ก็อุดมไปด้วยคุณค่าและประโยชน์เพื่อสุขภาพ และหนึ่งในสมุนไพรที่ถูกขนานนามว่าเป็นสุดยอดสมุนไพรจีนก็ต้องยกให้กับ ถั่งเช่า สมุนไพรราคาสูงที่มีรูปร่างหน้าตาแปลก แต่กลับเต็มไปด้วยฤทธิ์ในการรักษาโรคโดยเฉพาะรักษาอาการเสริมสมรรถภาพทางเพศ ฉะนั้นเราลองมาทำความรู้จักกับสมุนไพรชนิดนี้กันให้มากขึ้นกันเลยดีกว่า

ถั่งเช่า สรรพคุณสุดอัศจรรย์

 ถั่งเช่า คืออะไร

          ถั่งเช่า หรือ ตังถั่งเช่า คือ พืชตระกูลเห็ดราในสกุล Ophiocordyceps มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ophiocordyceps sinensis มีชื่อเรียกทั่วไปอีกว่าหญ้าหนอน เกิดจากการที่ตัวหนอนอ่อนของตัวด้วงจำพวกผีเสื้อ หนอน มอด ตั๊กแตน หรือด้วงค้างคาวซึ่งมีเชื้อ มุดเข้าไปอยู่ใต้ดินในช่วงฤดูหนาว และค่อย ๆ กลายสภาพเป็นเชื้อราที่มีชื่อว่า Sclerotea และเมื่อถึงฤดูร้อนเส้นใยในตัวหนอนที่ตายแล้วก็จะสร้างดอกออกมาปกคลุมตัวหนอนจนมีรูปร่างคล้ายกระบอง จากนั้นก็จะเจริญเติบโตขึ้นมีลักษณะกลายต้นหญ้า โดยถั่งเช่า ประกอบด้วย 2 ส่วนได้แก่ ตัวหนอน และเห็ดที่เจริญเติบโตขึ้นบริเวณส่วนหัวของหนอน มีชื่อว่า Cordyceps sinensis (Berk.) Saec. รสชาติของถั่งเช่าออกขม และอมหวานเล็กน้อย สามารถกินได้ทั้งแบบสด ๆ หรือนำไปต้มเพื่อรับประทานก็ได้ ทั้งนี้ ถั่งเช่าที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ได้แก่ ถั่งเช่า และถั่งเช่าสีทอง ซึ่งเป็นเห็ดในสกุลเดียวกัน และมีสรรพคุณใกล้เคียงกัน

          ถั่งเช่าได้รับการขนานนามว่า "ไวอากร้าแห่งเทือกเขาหิมาลัย" เนื่องจากมีสรรพคุณโดดเด่นในเรื่องการเสริมสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรที่อยู่ในแถบที่ราบสูงทิเบต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสูงจากน้ำทะเลมากกว่า 4,000 เมตรขึ้นไป นอกจากนี้ก็ยังสามารถพบได้ในบริเวณภาคใต้ของมณฑลชิงไห่ เขตซางโตวในทิเบต มณฑลกานซู ภูฏาน เนปาล และยังมีการเพาะเห็ดชนิดนี้ในมณฑลเสฉวน ยูนนาน และกุ้ยโจว ถั่งเช่า ถือเป็นสมุนไพรจีนที่หายากและราคาแพง แต่มีสรรพคุณมากมาย ทำให้เจ้าสมุนไพรชนิดนี้ยังคงความนิยมสูงนั่นเอง 

 ถั่งเช่า สรรพคุณเด่น ๆ ที่อยากให้รู้

          ถั่งเช่าถือเป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นโพลีแซคคาไรด์ (galactomannan) นิวคลีโอไทด์ (adenosine) กรดคอร์ไดเซปิก (Cordycepic Acid) ซึ่งเป็นสารที่มีเฉพาะในถั่งเช่า อีกทั้งยังมีกรดอะมิโน และเออร์โกสเตอรอล (Ergosterol) ที่มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อรา ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีสารอาหารที่สำคัญ อาทิ โปรตีน วิตามิน E วิตามิน K วิตามิน B1 วิตามิน B2 วิตามิน B12 โพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี และซิลิเนียม จึงทำให้ถั่งเช่ากลายเป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้ในการบำรุงสุขภาพและรักษาอาการบางชนิด โดยที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของการเสริมสมรรถภาพทางเพศ เราไปดูกันดีกว่าว่าสรรพคุณของถั่งเช่าจะมีอะไรบ้างค่ะ

1. ช่วยปรับการทำงานของหัวใจ

          ในเรื่องของหัวใจ ถั่งเช่าถือเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติได้ อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการหัวใจขาดออกซิเจน และเพิ่มออกซิเจนให้หัวใจได้ เหมาะสำหรับบำรุงผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ

2. เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

          ในเรื่องของการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ถั่งเช่าก็ทำได้ดีไม่ใช่น้อย เพราะถั่งเช่ามีสรรพคุณช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้เป็นปกติ ช่วยให้ร่างกายสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันมากขึ้น กระตุ้นการสร้างแอนติบอดีในร่างกาย เพื่อเพิ่มจำนวนของเซลล์ที่ใช้เพื่อกำจัดเซลล์แปลกปลอมหรือเซลล์ที่ตายแล้ว แต่ก็ต้องใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะการใช้มากเกินไปสารในถั่งเช่าอาจไปกดการทำงานบางอย่างของระบบภูมิคุ้มกันได้

ถั่งเช่า สรรพคุณสุดอัศจรรย์

3. ต้านมะเร็ง

          นอกจากเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันแล้ว ถั่งเช่าก็ยังมีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง โดยเจ้าสารคอร์ไดเซปิน (Cordycepin) ที่อยู่ในถั่งเช่าถือเป็นสารที่มีความสำคัญในการต่อต้านการเกิดมะเร็ง ป้องกันการเกิดและการแพร่กระจายของเนื้อร้าย รวมทั้งยังป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่รักษาหายแล้วกลับมาเป็นซ้ำอีกด้วย

4. ลดไขมันในเลือด

          อีกสรรพคุณหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คงจะเป็นการควบคุมระดับไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอร์ไรด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภัยอื่น ๆ อย่างเช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ก็ยังเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดที่ดี ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดแดงแข็งได้

5. ฟื้นฟูการทำงานของไต

          สำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง การรับประทานถั่งเช่าจะช่วยบรรเทาอาการลง และทำให้สุขภาพไตดีขึ้น อีกทั้งยังลดความเสียหายของไตที่เกิดจากสารพิษตกค้างได้ค่ะ

6. เสริมสร้างการทำงานของตับ

          สารพิษเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตับถูกทำลาย การกินถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมจะช่วยลดผลกระทบจากสารพิษ และป้องกันการเกิดพังพืดในตับ ขณะที่สารต้านอนุมูลอิสระก็ยังเข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไวรัสตับอักเสบได้ด้วย

7. บำรุงโลหิต

          นอกจากจะบำรุงตับ ไต รวมทั้งหัวใจแล้ว สารที่อยู่ในถั่งเช่าก็ยังช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบโลหิต ทำให้ร่างกายสร้างไขกระดูกมากขึ้นซึ่งทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดขาวถูกสร้างในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย

8. ลดระดับน้ำตาลในเลือด 

          สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ถั่งเช่าถือเป็นสมุนไพรอีกชนิดที่ช่วยลดน้ำตาลได้ โดยมีการศึกษาพบว่า การรับประทานถั่งเช่าวันละ 3 กรัม จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ถึง 95% ซึ่งมากกว่าการใช้ยาแผนปัจจุบันที่ควบคุมได้เพียงแค่ 54%

ถั่งเช่า สรรพคุณสุดอัศจรรย์

 ถั่งเช่า รักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้จริงหรือ ?

          เชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยรู้จักถั่งเช่าเพราะสรรพคุณที่ช่วยในการเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า ขอบอกตรงนี้เลยค่ะว่าถั่งเช่าช่วยได้แน่นอน เพราะถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มปริมาณของสเปิร์มในอสุจิได้ โดยจากการศึกษาในผู้ชาย 22 คนพบว่าเมื่อใช้ถั่งเช่าเป็นอาหารเสริมแล้ว ปริมาณของสเปิร์มในอสุจิเพิ่มขึ้น 33% อีกทั้งยังลดปริมาณสเปิร์มที่มีความผิดปกติลงได้ถึง 29%

          และเมื่อศึกษาเพิ่มเติมก็พบว่าถั่งเช่าสามารถช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศได้ 66-86% อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการปกป้องและเสริมสร้างการทำงานของต่อมหมวกไต และเพิ่มโอกาสที่สเปิร์มจะปฏิสนธิได้ 300% แต่ทั้งนี้ก็ต้องระมัดระวังในการใช้สักหน่อย โดยควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนนำมาใช้รักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงได้ค่ะ

 ข้อควรระวังในการใช้ถั่งเช่า
          เดี๋ยวนี้หาทานถั่งเช่าได้ง่ายขึ้น เพราะมีการผลิตถั่งเช่าสกัดแบบแคปซูลออกมา แต่แม้ว่าถั่งเช่าจะมีสรรพคุณในการดูแลสุขภาพและบรรเทาอาการเจ็บป่วย ก็ยังมีสิ่งที่ควรระมัดระวังในการรับประทานถั่งเช่าอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน การรับประทานถั่งเช่าสามารถลดน้ำตาลในเลือดได้ แต่ถ้าหากใช้ควบคู่ไปกับยาลดน้ำตาลอาจจะทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำจนเป็นอันตรายได้เช่นกัน ผู้ที่ใช้ยากลุ่มป้องกันการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด และผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันก็ไม่ควรรับประทาน เพราะถั่งเช่ามีฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน หากใช้แล้วอาจจะเกิดอันตรายได้ 

          ได้รู้จักถั่งเช่ากันมากขึ้นแล้ว เชื่อว่าหลายคนก็อยากจะนำมาใช้บำรุงสุขภาพ แต่ก็อย่าลืมนะคะว่าสมุนไพรชนิดนี้มีราคาแพงมาก และอาจจะส่งผลข้างเคียงได้กับคนบางกลุ่ม ฉะนั้นถ้าอยากให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนดีกว่านะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
chineseherbshealing.com
lindbergnutrition.com